วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

วัตถุธาตุกายสิทธิ์


วัตถุธาตุกายสิทธิ์ (พญาเหล็ก) นี้
เกิดมีขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจของพวกฤาษีผู้มี ฌาน (สมาธิระดับสูง) และ อภิญญา (ความสามารถพิเศษ)
แก่กล้าในระหว่างอันตรกัป คือ ในระหว่างที่ว่างจากพระพุทธศาสนาเป็นระยะเวลายาวนานนั้น
บรรดามนุษย์ผู้มีบุญ คือ คุณธรรมจากการที่ได้เคยรักษาศีล และเจริญภาวนาสมาธิมาก่อน ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในยุคนั้น ได้ออกบำเพ็ญพรต (ถือศีล) พรหมจรรย์ (การออกบวชเว้นเมถุน-คือเว้นชีวิตคู่)
ด้วยมุ่งหวัง “อมตธรรม” ก็คือ ปรารถนาพระนิพพานที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ และที่เป็นบรมสุขนั้นแหละ

แต่ไม่รู้จักทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ให้ถึงอมตมหานฤพานได้ เพราะยังไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้
จึงได้แต่เจริญสมาธิภาวนา จนได้ฌานและอภิญญาแก่กล้า
แต่ก็รู้ว่าตนเองนั้นยังไม่อาจพ้นความตายได้ ยังไม่เห็นทางที่จะถึงอมตธรรมที่ไม่ตายได้
ก็ปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ยั่งยืนที่สุด ดุจว่าเป็นอมตธรรม
เพื่อรอผู้ตรัสรู้ (พระพุทธเจ้า) มาตรัสสอนทางปฏิบัติให้ได้บรรลุถึงอมตธรรม
เพื่อจักได้เข้าสู่กระแสธรรม นำไปให้ถึงอมตธรรมตามที่ได้มุ่งหวัง
จึงค้นหาวิธีสร้าง "วัตถุธาตุอันเป็นที่สถิตแห่งจิตวิญญาณของตน" ให้คงทนยั่งยืนที่สุด
ดุจว่าเป็นอมตธรรมนั้นด้วยฤทธิ์อำนาจของตน ก่อนเบญจขันธ์ของตนจะแตกทำลาย (ก่อนทำกาละ/ตาย)

ครั้นพากันทำวัตถุธาตุนั้นขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจของพวกตนที่แก่กล้ารุนแรง
จนเกินอำนาจการควบคุมให้อยู่ในสภาวะพอเหมาะตามต้องการได้
วัตถุที่ปรุงขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจนั้นก็ระเบิดเป็นจุณ วิจุณ
เป็นอณูธาตุ เป็นที่สถิตอยู่ของจิตวิญญาณฤาษีนั้นเองด้วย และกายสิทธิ์ภาคผู้เลี้ยงด้วย
และแม้เทพเทวาที่รู้คุณวิเศษของวัตถุธาตุเช่นนั้น ก็ติดตามครอบครองยึดถือเป็นเจ้าของ

อณูธาตุเหล่านั้นมีทั้งที่กระจัดกระจายออกนอกแนวแรงดึงดูดของโลก คือ หลุดออกไปนอกโลก
และทั้งที่กระจัดกระจายไปในบรรยากาศของโลก แล้วตกลงสู่พื้นดิน
และวิวัฒนาการไปตามธรรมชาติ ตลอดระยะเวลายาวนานหลายกัปหลายกัลป์มาจนถึงปัจจุบันนี้

จึงมีสภาพ ลักษณะ และอานุภาพที่แตกต่างกันไปตามธรรมชาติที่แวดล้อม เป็นอยู่
และเปลี่ยนแปลงไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ คือ
ความเป็นสภาพไม่เที่ยง (อนิจฺจํ)
ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย เป็นทุกข์ (ทุกฺขํ) คือทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้นาน
จนถึงเป็น อนตฺตา ได้ในที่สุด

ครั้นเมื่อมาถึงยุคปัจจุบันนี้
จึงอาจมีอานุภาพตามคุณลักษณะของธาตุธรรมที่จะเป็นฝ่ายพระ (ฝ่ายบุญกุศล) ล้วนๆ
ที่จะให้สุขสมบัติแก่ผู้มีอยู่ในครอบครองแต่ถ่ายเดียว

หรือว่าจะมีอานุภาพตามลักษณะของธาตุธรรมเป็นฝ่ายมาร (ฝ่ายบาปอกุศล) ล้วนๆ
ที่จะให้ทุกข์สมบัติ แก่ผู้มีไว้ในครอบครองแต่ถ่ายเดียว
และ/หรือจะมีลักษณะของธาตุธรรม 2 ฝ่าย ปะปนกัน
ที่อาจให้ทั้งสุขสมบัติแก่ผู้ประพฤติปฏิบัติดี มีศีลมีธรรม
และ ที่ให้ทั้งทุกข์สมบัติแก่ผู้ประพฤติปฏิบัติชั่ว ทุศีล ขาดหิริโอตตัปปะ และ ไร้คุณธรรม
ได้ตามส่วนของเขา และตามระดับคุณธรรมของผู้มีไว้ในครอบครอง

อณูธาตุอันเป็นที่สถิตอยู่ของจิตวิญญาณธาตุของฤาษี ที่ปรารถนาดำรงคงทนยั่งยืนที่สุดดุจอมตธรรม
จึงต้องเสพ หรือ ดูดซึมสิ่งที่อยู่แวดล้อมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงอณูธาตุนั้น ให้ดำรงคงอยู่คู่กับเบญจขันธ์ของตน เช่น
- ในบริเวณบางแห่งที่มีแร่ธาตุประเภทอัญมณีมาก ก็จะวิวัฒนาการเป็นวัตถุธาตุที่เหมือนอัญมณีสีต่าง ๆ ได้
- บริเวณที่มีทั้งแร่ธาตุ ดินกากยายักษ์ หิน และทั้งว่านยาสมุนไพรที่วิเศษต่าง ๆ
ที่เหมาะแก่การรักษาธาตุขันธ์ของเขา ก็จะเสพหรือดูดซึมเข้าไปปรุง หล่อเลี้ยงธาตุขันธ์ของเขา
จึงวิวัฒนาการมาเป็นวัตถุธาตุกึ่งอัญมณี-หิน-เหล็ก รวมกัน แต่ไม่ดูดเหล็ก

กล่าวโดยส่วนใหญ่แล้วมีส่วนผสมของแร่เหล็กเป็นตัวยืน
ที่เมื่อถูกเชิญ หรือถูกบังคับเรียกออกมาจากรังด้วยเวทมนตร์ของผู้ทรงวิทยาคม
ก็จะไหล หรือ ย้อยหยดลงมาในสภาพเป็นของเหลว
หรือ ยืดออกมาในสภาพเป็นของอ่อนนิ่มก่อน จึงชื่อว่า “เหล็กไหล”
เมื่อมากระทบกับอากาศเย็น หรือ น้ำพระพุทธมนต์ที่รองรับไว้
ก็จะกลับแข็งตัวเหมือนโลหะเหล็ก หรืออัญมณีที่แข็งเหมือนเหล็ก

นอกจากนั้น วัตถุธาตุกายสิทธิ์นี้ยังขยายขนาดและขยายเผ่าพันธุ์ มีสมาชิกทั้งแก่และอ่อนสถิตอยู่ร่วมกันในรัง
ดุจดังว่าเป็นอาณาจักรของเขา เรียกว่า “รังเหล็กไหล” หรือ “โคตรเหล็กไหล”

กรณีที่ธาตุกายสิทธิ์ถูกผู้มีอำนาจสิทธิเหนือกว่า เช่น
ผู้เป็นพระอริยเจ้าเชิญออกมา หรือ ผู้ทรงวิทยาคมเรียกบังคับให้ออกมาจากรัง...จนหมดทั้งรัง
รัง หรือ โคตรเหล็กไหลนั้น บางท่านเรียกว่า "มูล หรือ ขี้เหล็กไหล"
เเต่ มูล หรือ ขี้เหล็กไหลจริงๆ มีอยู่อีกต่างหาก

ธาตุกายสิทธิ์ที่ถูกเชิญ หรือ เรียกบังคับออกมานี้ ชื่อว่า "เหล็กไหลตัด"
เหล็กไหลประเภทนี้ มีกัมมันตภาพรังสีอยู่ด้วยมาก
ประเภทนี้มีฤทธิ์อำนาจมาก มีอานุภาพร้อนเเรง
จึงมีทั้งคุณอนันต์เเก่คนดีมีศีลมีธรรม เเละเป็นโทษมหันต์เเก่ผู้ทุศีล หรือขาดคุณธรรมได้



รัง หรือ โคตรเหล็กไหล ที่มีสมาชิกธาตุกายสิทธิ์สถิตอยู่มากมายนั้น
นานปีนับร้อย - พัน - หมื่น - เเสน - ล้าน - โกฏปี
ย่อมได้รับความกระทบกระเทือนจากปัจจัยเเวดล้อมตามธรรมชาติ ได้เเก่
เเดด ลม ฝน เเผ่นดินไหว น้ำไหลเซาะ ฯลฯ เป็นต้น
บางส่วนก็เเตกหลุดออกจากรังเดิมไปตามธรรมชาติ
ถูกกระเเสน้ำกระเเสลม...ซัดพัดพาไปติดอยู่ ณ ที่ใดที่เหมาะสม ก็ขยายเผ่าพันธุ์ ณ ที่นั้นต่อๆไปอีก

ชื่อว่า "พญาสมิงเหล็ก" ก็มี / "เหล็กไหลเจ้าป่า" ก็มี / "หล็กไหลโกฏปี" ก็มี
เเละสมาชิกที่วิวัฒนาการเป็นธาตุกายสิทธิ์ ที่เคยอาศัยอยู่ในรังน้อยใหญ่
ก็หลุดจากรังเดิมต่อๆไปอีก ถูกกระเเสน้ำพัดพาไปอยู่ตามถ้ำ ตามเเอ่งน้ำ
บนภูเขา หรือออกจากถ้ำ / ภูเขา ไปอยู่ตามเชิงเขาเเละตามพื้นดินภายนอกก็มี
ที่อยู่ตามน้ำ เรียกว่า "เหล็กไหลตาน้ำ" หรือ "เหล็กหลบ" ก็มี
เเละที่อยู่ตามพื้นดินภายนอก ถูกเเดดเเผดเผาจนเป็นสีน้ำตาลอมส้ม เรียกว่า "เหล็กไหลเพลิง" ก็มี ฯลฯ

วัตถุธาตุกายสิทธิ์ที่ตัดเอง (หลุดออกมาเอง) โดยธรรมชาติ
ทั้งหมดเหล่านี้จึงรวมเรียกว่า "เหล็กไหลบารมี"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น