วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

เหล็กไหล มายาลวงโลก หรือ มหัศจรรย์เหนือพิภพ



เหล็กไหล
บทความนี้ถูกนำเสนอในแง่ปรากฏการณ์หนึ่งในสังคมไทย ที่ปัจจุบันยังมีผู้เชื่อถือในเรื่องเร้นลับอยู่มากมายในหลายเรื่อง

ถูกมองข้ามเหตุผลที่เป็นไปตามกระบวนวิทยาศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันมีบุคคลหลายคณะที่เชื่อถือเเละเเสวงหาธาตุกายสิทธิ์ชิ้นนี้ที่เรียกว่า เหล็กไหล โดยมีบุคคลมากมายที่ต้องสูญเสียทรัพย์สมบัติอันมีค่ามหาศาล ที่สร้างสมมาเกือบชั่วชีวิตและบางรายกลับต้องจบชีวิตลงอย่างไม่ถึงวัยอันสมควร ในการเข้าไปเกี่ยวพันกับสิ่งลี้ลับนี้ เหตุใดบุคคลเหล่านั้นที่มีทั้งส่วนที่เรียกว่า ปัญญาชนที่ได้รับการศึกษาในสายวิทยาศาสตร์ที่มีความเจริญก้าวหน้าในเทคโนโลยีอย่างล้ำยุคจึงเชื่อถือ มีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในความเชื่อนี้หรือ กับปรากฏการณ์ปัจจุบันที่มีผู้นำเสนอต่อสังคมถึงธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้อย่างมากมายดาษดื่น

ทั้งมีบุคคลชั้นสูงในสังคมจำนวนมากที่ยอมแลกเปลี่ยนด้วยเงินตราจำนวนมาก มีการแบ่งแยกชนิดออกอย่างหลากหลายแต่ไม่มีการนำเสนอสักสื่อเดียว ที่สามารถนำเรื่องราวทั้งหลายมาตีแผ่อย่างละเอียดลึกซึ้งถึงพิธีกรรม และความหมายของนิยามเหล็กไหลที่เเท้จริงคืออะไร? เเละเราควรมองเรื่องเหล็กไหลนี้อย่างไร?จึงเป็นเหตุสำคัญประการหนึ่ง ที่กองบรรณาธิการต้องตัดสินใจนำเสนอเรื่องนี้ขึ้นแม้ว่าบางส่วน

อาจจะสวนทางความเชื่อกับกระเเสสังคมบางกลุ่มก็ตาม แต่ก็ด้วยเจตนาบริสุทธิ์มิได้หวังขัดผลประโยชน์ของผู้ใด หรือคณะใดเเละทางกองบรรณาธิการก็มิได้มีวัตถุที่เรียกว่า เหล็กไหลให้เเลกเปลี่ยนซื้อขายแต่อย่างใด แต่เราต้องทำเพื่อความมุ่งมั่นที่จะร่วมสร้างสังคมดำรงศาสตร์อย่างแท้จริง จึงแจ้งมาให้ทราบและหวังอย่างยิ่งว่าหากเนื้อหาของบทความนี้อาจขัดเเย้งกับคณะ หรือความเชื่อใดก็เป็นในแง่ของงานบันทึกทางวิชาการ ที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคมที่มีต่อธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้เท่านั้น


เหล็กไหลกับนิยามที่เเท้จริง
จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ได้นิยามความหมายของคำว่า"เหล็กไหล" ว่า น.โลหะชนิดหนึ่งที่เชื่อกันว่าเอาไฟเทียน ลนก็ไหลย้อยได้ นอกจากนี้ยังหมายถึง พืชจำพวกว่านชนิดหนึ่งด้วย ในแง่ที่เป็นโลหะหากเราพิจารณาความแค่นี้ก็คงเข้าใจว่าโลหะที่ถูกหลอมชนิดหนึ่ง ที่ไม่อาจได้ความอะไรได้มากนัก แต่จากผู้สันทัดกรณีที่ไม่ประสงค์จะออกนามท่านหนึ่งที่คลุกคลีกับวงการ ที่เชื่อถือเรื่องเหล็กไหลมานานนับสิบปีกว่าครึ่งชีวิตและเป็นผู้หนึ่ง ที่บุคคลชั้นสูงในสังคมหลายท่านเชื่อถือและมั่นใจว่า ท่านผู้นั้นเป็นบุคคลผู้หนึ่งที่รู้เรื่องเหล็กไหลดี และที่สำคัญมีความรู้ความสามารถที่จะสามารถตัด หรืออัญเชิญธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ออกมาให้เห็นประจักษ์ทีเดียว ซึ่งขนาด กองถ่ายภาพยนตร์ที่กำลังถ่ายทำอยู่ขณะนี้ที่ชื่อเรื่องว่า "มนุษย์เหล็กไหล" ก็ขอคำเเนะนำเเละขอชมภาพยนตร์วิดีโอที่ถ่ายทำ

ขณะท่านผู้นี้ตัดเหล็กไหลในถ้ำเเห่งหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้าที่กองบรรณาธิการจะนำเสนอเรื่องเหล็กไหลนี้ก็เคยดูภาพวิดีทัศน์ ซึ่งรายการส่องโลกที่ในสมัยนั้นคุณสันติสุข พรหมศิริ นักแสดงและพิธีกรชื่อดังก็เคยพยายามนำเสนอ เเละพิสูจน์ทราบเรื่องนี้จนเป็นที่ฮือฮาเมื่อหลายปีก่อน และที่โด่งดังที่สุดก็ตอนที่นักเขียนนาม "พนมเทียน" ได้ถ่ายทอดถอดความบันทึกจากปากคำของทันตแพทย์ผู้หนึ่งออกตีแผ่วงการเหล็กไหลที่ น.ส.พ.เดลินิวส์จนเป็นที่โด่งดังเมื่อเมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ใช้เวลานานถึงสองปีคือจบบทความในมกราคมปี พ.ศ. ๒๕๒๕ และบุคคลที่กล่าวอ้างว่าเป็นอาจารย์ผู้ตัดเหล็กไหลนั้นก็เพิ่งเสียชีวิตอย่างน่าฉงนไปเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่เรื่องราวที่ผมนำเสนอนี้จะน่าตื่นเต้น เเละพิสดารในรายละเอียดที่ปรากฏในพิธีกรรมที่มากกว่า เพราะมีการเรียกเจ้าวัตถุธาตุกายสิทธิ์นี้ให้มาปรากฏในพิธีกรรมที่จัดขึ้นในบริเวณปริมณฑลกรุงเทพฯนี่เอง โดยไม่ต้องเดินทางไปที่ป่าเขาอย่างที่หลายท่านเคยเชื่อถือ และท่านอาจเห็นว่าเป็นการมายาเล่นกลหรือลวงหลอกก็ตาม แต่ก็มีผู้พิสูจน์เรื่องนี้อยู่หลายคนและต่างยอมรับในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น

นิยามของเหล็กไหลที่เเท้จริงนั้น ท่านผู้สันทัดกรณีได้ชี้เเจงว่า ความจริงเป็นธาตุอย่างหนึ่งที่ปรากฏในบรรยากาศรอบๆ ตัวเราอย่างที่เรียกว่า "ขี่" ในภาษาจีน หรือ "ปราณ" ในภาษาโยคะ ที่อาจเรียกเพื่อความเข้าใจง่ายๆว่า "เชื้อชีวิต" ที่ปรากฏในสิ่งต่างๆให้มีพลังมีจิตใจหรือวิญญาณภายใน และธาตุเหล่านี้เองที่ถูกนำมาควบแน่นหรือกลั่นตัวด้วยกระบวนการพิธีกรรม และว่านยาจนเกิดสิ่งที่คนโดยทั่วไปเข้าใจว่าเป็น "เหล็กไหล" ซึ่งในสายวิชาของท่านผู้นี้ได้เรียกสิ่งนี้ว่า "เจ้าแม่ธรรมชาติพญาเหล็ก" ลักษณะสำคัญของธาตุที่ว่านี้อาจเรียกว่าอนุมูลทิพย์ หรือไอทิพย์นั้นเมื่อนำมาสอบค้นก็พบว่าในจีนเเละ ทิเบตก็มีความเชื่อเรื่องราวเหล่านี้โดยเรียกว่า "เหล็กสวรรค์" หรือเทียนเทียะ (ซึ่งก็คือตราประจำอุณมิลิตนั่นเอง) ส่วนในขอมยุคโบราณก็พบว่ามีการนำโลหะธาตุชนิดนี้มาสร้างของศักดิ์สิทธิ์ โดยเชื่อว่าเป็นนักบวชที่มาจากทิเบตเป็นผู้นำวิทยาการนี้มาถ่ายทอดเเละรู้จักกันในชื่อ "เหล็กเย็น" ส่วนทางด้านมาลายูก็มีความเชื่อ และพิธีกรรมที่เกี่ยวกับธาตุกายสิทธิ์ที่เรียกเป็นภาษามาลายูว่า "บือซี ซือเละ" ที่มีความหมายตรงตัวว่า เหล็กไหลนั่นเอง ความเชื่อที่เกือบเหมือนและพิธีกรรมที่มีบางส่วนคล้ายกันเช่นการใช้น้ำผึ้ง นั้นยืนยันว่าศาสตร์นี้มิใช่ความรู้เฉพาะศาสนาใดศาสนาหนึ่งเเต่เป็นศาสตร์ ที่ถูกนำความเชื่อทางศาสนามาผูกพันเพื่อสร้างจรรยาในการถือครองขึ้น

นิยามของสิ่งที่เรียกว่าเหล็กไหลนั้น ยังครอบคลุมถึงคุณสมบัติของสิ่งนี้ โดยทั่วไปเชื่อว่ามีลักษณะเหมือนสิ่งมีชีวิตที่เเตกต่างจากสิ่งมีชิวิตที่มีธาตุขันธ์โดยทั่วไป ที่เห็นอยู่เพราะเชื่อว่า เป็นโลหะ และที่เชื่อว่าโลหะมีชีวิตในทางไสยศาสตร์นั้นก็มีเพียงสองชนิดเท่านั้นก็คือ เหล็กไหลที่ว่านี่ และปรอท ส่วนอีกธาตุหนึ่งที่ถือว่ามีจิตมีชีวิต เเต่ไม่ใช่โลหะก็คือ "แก้ว" หรือเรียกว่า "ธาตุสำเร็จ" แต่จะอภิปรายเฉพาะเพียงธาตุโลหะที่เป็นธาตุเทียบเคียง โดยทั้งสองสิ่งนั้นเป็นยอดปรารถนาของคนที่เชื่อเรื่องคาถาอาคมว่า หากครอบครองสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็จะเหนือมนุษย์ไม่มีผู้ใดทำอันตรายได้ (แต่ที่เห็นก็ตายลงหลุมเกือบทุกคนเพราะ เป็นกฏธรรมชาติ) การที่ว่ามีชีวิตของ "เหล็กไหล" หรือ "ปรอท" ก็เพราะทั้งสองสิ่งนั้นเคลื่อนที่ไปมาได้เอง (เรียกว่าเดินหน) และมีการเสพ บางสิ่งบางอย่างซึ่งปรอทนั้นจะเสพโลหิตและของเน่าเสีย แต่ปรอทบางชนิดจะเสพไอดิน ไอฟ้า และไอตัวจากบุคคลบางประเภทในคอลัมน์นี้ จะเว้นเสียไม่กล่าวถึงซึ่งความจริงเป็นการจับขั้วของธาตุเสียมากกว่า ส่วนเหล็กไหลนั้นเชื่อว่า เสพไอหอมของเกษรดอกไม้ โดยจะเสพโดยตรง และบางคณะเชื่อว่าอาจเสพจากดินบางประเภทที่เรียกในภาษาปักษ์ใต้ว่า "ดินกากยายักษ์" ที่เป็นเศษของสมุนไพรของคนยุคโบราณ โดยมีว่านชนิดหนึ่งที่เป็นของคู่กันหากนำมารวมกันก็จะต่างเพิ่มอำนาจแก่กันอีกมาก ส่วนจะเป็นว่านอะไรก็ขออุบไว้ก่อน และที่รู้จักกันดีก็คือ "น้ำผึ้ง" และยิ่งเป็นน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งหลวงที่ขึ้นบนยอดผาสูงโดดเดี่ยว และหากมีคดผึ้งในรังผึ้งนั้นก็ยิ่งเชื่อว่าจะเสริมอานุภาพให้เหล็กไหลศักดิ์สิทธิ์เป็นทวีคูณ โดยนักไสยเวทหลายท่านเชื่อว่ามีเหล็กไหลบางประเภทที่บ่มตัวสามารถเสพไอดินไอฟ้า และง้วนผึ้งก็จะมีอำนาจมากจนอาคมไม่สามารถผูกอยู่ได้เเต่อย่างใดต้องเชิญด้วยจิตเท่านั้น ลักษณะของเหล็กไหลนั้นเทียบเคียงกับธาตุวิทยาศาสตร์ที่ชื่อว่าทอร์เรียม(Thorium) โดยมีคุณสมบัติ……

(สามารถติดตามละเอียดเพิ่มเติมได้ในนิตยสารอุณมิลิต ฉบับที่ ๒๓ เดือนเมษายน ๒๕๔๘)

1 ความคิดเห็น:

  1. จากบทความ และรูปข้างต้น

    เอามะเขือยาวเผาไฟ คุณค่าสารอาหารหมดไปหรือไม่ อย่างไร ใช้ ศีล สมาธิ ปัญญา เอาเถิดโยม...........

    เอาคบไฟไปลนแร่ที่อยู่ในหิน เช่นแร่เฮมาไทส์ แร่พลวง แร่น้ำพี้ ฯลฯ โดยใช้ความร้อนจากไฟ มันไม่ต่างกับเอามะเขือยาวเผาไฟ หรือเผาคนทั้งเป็น แล้วเทพเจ้าองค์ใดจะสถิตอยู่ได้เล่า ถอดผ้าถุงห่อหุ้มเผ่นล่อนจ้อน ไปอยู่ที่อื่น สู้เก็บก้อนหินก้อนกรวดที่ตกตามพื้นถ้ำมาพกติดตัวมีอานุภาพยิ่งกว่าโผม.....

    ตอบลบ