วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

น้ำมนต์เหล็กไหล

น้ำมนต์เหล็กไหลรักษาโรค

น้ำมนต์เหล็กไหล
น้ำมนต์เหล็กไหล
น้ำมนต์เหล็กไหลคือน้ำมนต์ศักดสิทธิ์ที่เกิดจากการแผ่ พลังงานจากเหล็กไหลลงสู่ธาตุน้ำโดยการนำเหล็กไหลซึ่งอาจเป็น องค์เหล็กไหลชั้นเยี่ยมหรือจะเป็นรังเหล็กไหลก็ได้ลงไปแช่ในน้ำ โดยทั่วไปจะแช่ทิ้งไว้เฉย ๆ เป็นเวลาตั้งแต่ 20นาทีขึ้นไป เพราะตาม ธรรมชาติของเหล็กไหลนั้นย่อมแผ่รัศมีของตัวเอง และเมื่อเหล็กไหล ได้แผ่รังสีลงในน้ำก็จะทำให้น้ำนั้นเริ่มมีประจุพลังงานของเหล็กไหล วิ่งไปมาอยู่ภายใน ประจุพลังงานของเหล็กไหลทีกระจายลงน้ำไม่เป็นอันตราย ต่อคนและสัตว์

ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้น้ำธรรมดาๆเป็นนํ้าอมฤตที่สามารถนำมาใช้บรรเทาอาการเจ็บป่วย หรือทำให้ร่างกายแข็งแรงทนทานต่อเชื้อโรคในอากาศ และช่วยในการปรับธาตุ ให้ร่างกายสมดุลกับอากาศรอบๆตัวด้วย แต่ลำพังการนำเอาเหล็กไหลมาแช่น้ำไว้โดยให้เหล็กไหล คลายพลังตามธรรมชาติของตนเองออกมานั้น พลังงานที่ได้อาจน้อย เกินไปหรือไม่ก็ต้องใช้เวลานานดังนั้นในกรณีที่มีผู้เจ็บป่วยหนักหรือต้องการพลังงานที่มากกว่านั้นเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงขึ้นในเวลา อันสั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาลัยอำนาจพลังงานทางจิตจากตัว มนุษย์ด้วยวิธีการเพ่งกสิณในขั้นตอนที่นำเอาเหล็กไหลลงไปแช่ในน้ำ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ได้น้ำมนต์เหล็กไหลที่มีอานุภาพมากขึ้นซึ่งผู้ที่จะเพ่ง หรือทำวิธีการนี้ได้จะต้องเป็นผู้ที่เคยฝึกกสิณมาบ้างแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "กสิณไฟ" เพราะกสิณไฟเป็นวิชาที่สามารถเพ่งเหล็กไหลให้ พลังงานภายในเหล็กไหลเกิดการแตกตัวได้

ก่อนที่จะเพ่งเหล็กไหลด้วยการใช้กสิณไฟจะต้องมีการ บอกกล่าวต่อครูบาอาจารย์ที่เป็นพระฤาษีด้วย เพราะการแตกตัวของพลังงานภายในเหล็กไหลที่เกิดจากการใช้กสิณไฟนั้นสามารถเทียบได้กับการแตกตัวของพลังงานนิวเคลียร์ซึ่งผู้ที่ทำพิธีอาจได้ รับอันตรายอันเกิดจากกระแสพลังงานของเหล็กไหลที่แผ่ออกมาอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องขอความคุ้มครองจากจิตวิญญาณที่มีอานุภาพสูงส่งกว่าและสามารถควบคุมเหล็กไหลได้

พลังงานภายในตัวเหล็กไหลจะแตกตัวแบบทวีคูณ โดยพลังงานเหล่านั้นจะเริ่มแตกตัวจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่และเพิ่มทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งในจุดนี้ผู้ที่ทำพิธีจะสามารถส่งโทรจิตและรับรู้ถึงการแตกตัวของอญูธาตุเหล็กไหลได้เฉพาะตัว แต่ผู้ทำพิธีก็สามารถ ทำให้ผู้อื่นรับรู้เป็นรูปธรรมได้ด้วยการที่ผู้ทำพิธีจะเริ่มหยดน้ำตาเทียนลงบนผิวน้ำ โดยสามารถสังเกตได้จากน้ำตาเทียนทุกหยดที่ตกลงไปบนแผ่นน้ำจะแตกตัวออกเป็นแฉกคล้ายรูปดอกพิกุลอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าจากเดิมภายในน้ำที่เรามองไม่เห็นว่าแตกต่าง อะไรจากน้ำเปล่าธรรมดาทั่วไปนั้นตอนนี้กลับเต็มไปด้วยพลังงานลี้ลับบางอย่างที่มีอานุภาพแห่งการบำบัดขั้นสูง ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถรักษา โรคได้หลายชนิด เช่นโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง เบาหวานไต แต่ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับศรัทธาของผู้ที่มาขอรับน้ำมนต์เหล็กไหลด้วย

น้ำมนต์เหล็กไหลเกิดขึ้นจากพลังอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นการดื่มน้ำมนต์เหล็กไหลจึงต้องใช้ความศรัทธาของผู้ดื่มมาประกอบ จึงจะบังเกิดผลได้อย่างเต็มที่นอกจากนี้การทำบุญแผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมจะยิ่งส่งผลให้ โรคกรรมต่างๆทุเลาลงและหายได้ในที่สุด

เหล็กไหลรักษาโรค

เหล็กไหลรักษาโรค

เหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์เป็นหนึ่งในวัตถุที่มีพลังงานพิเศษที่เทพเจ้าได้มอบไว้ให้โลกมนุษย์ เนื่องจากภายในเหล็กไหลมีเจตจำนงบางประการของเทพเจ้าซ่อนอยู่ ซึ่งผู้รู้ในยุคต่อๆมาได้ไขปริศนาเกี่ยวกับธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลว่าเป็นวัตถุที่สามารถช่วยโลกให้พ้นจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นได้ แต่การนำเหล็กไหลมาใช้ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน เพราะวิธีการใช้เหล็กไหลนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพลังจิตของผู้ครอบครองเหล็กไหลโดยตรง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าผู้ที่สามารถนำเอาพลังงานพิเศษของเหล็กไหลมาใช้ได้นั้นต้องเป็นผู้ที่ฝึกสมาธิจิตมาเป็นอย่างดีแล้วนั้นเอง

"พลังงานจากเหล็กไหลสามารถนำมาใช้ในเรื่องอะไรได้บ้าง?" คำถามนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจมากเหล็กไหลมีพลังงานสูงส่งภายในตัว และสามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานในรูปแบบอื่นๆ ได้อีกมากมาย และดูเหมือนว่าจะไม่จำกัดด้วยซ้ำ อานุภาพจากเหล็กไหลที่มากมายนี้ สามารถนำมาใช้ได้หลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถพบเห็นมาก ที่สุดคือการนำพลังอำนาจของเหล็กไหลในทางการบำบัดรักษาโรค

อานุภาพของการฝังเหล็กไหล

อานุภาพของการฝังเหล็กไหล

การฝังเหล็กไหลถือว่าเป็นการทำให้อานุภาพของแร่แสดงอิทธิพลังได้เด่นชัดที่สุดเพราะเมื่อตัวแร่แนบเนื้ออยู่ในตัวคนเรา ตัวแร่กับคนผู้นั้นจะเป็นหนึ่งเดียวกันรังสีจากแร่เหล็กไหลจะแสดงศักยภาพออกมาอย่างสมบูรณ์ที่ลุด และร่างกายของคนผู้นั้นจะสามารถรับพลัง งานจากเหล็กไหลได้อย่างเต็มที่เมื่อทำพิธีฝังเหล็กไหลเข้าไปในร่างกาย

ในการฝังเหล็กไหลนั้นครูบาอาจารย์ที่มีวิชาจะต้องทำการเสก เหล็กไหลเรียกว่าบังคับควบคุมในระดับหนึ่งเพื่อไม่ให้พลังจากเหล็กไหลทำลายตัวเองหรือกินตัวของผู้ที่รับการฝังนั้น จากนั้นให้ผู้เข้ารับการ ฝังยกขันธ์บูชาครู ที่เรียกว่าขันธ์ 5 อันประกอบด้วยดอกไม้ 5สี เทียน 5เล่ม ธูป 5ดอก ผ้าขาว 1พับ ค่าครู 32บาท ซึ่งเท่ากับอาการสามสิบสอง (สำหรับค่าครูสามารถแตกต่างกันออกไปแล้วแต่จะ กำหนดกัน) จากนั้นครูบาอาจารย์จะให้ผู้เข้ารับการฝังเหล็กไหลให้วาจาสัตย์แก่ครูบาอาจารย์ว่า เมื่อฝังเหล็กไหลแล้วจะประพฤติตัวอยู่ในศีลไม่ไปประพฤติชั่ว เช่น ไม่ประพฤติผิดศีลข้อ3 ไม่เป็นโจรและที่สำคัญ คือห้ามกล่าวคำด่าบิดามารดาของตนเป็นอันขาด เมื่อได้ยกขันธ์ครูเป็นทีเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ผู้ทำพิธีจะใช้ลิ่ม ตอกลงที่บริเวณใต้ท้องแขน (หรือบริเวณที่จะทำการฝังเหล็กไหล)
ซึ่งหากเป็นบริเวณใต้ท้องแขนก็จะสามารถดึงหนังออกมาให้ตอกได้ เมื่อตอกเรียบร้อยแล้วจะมีรอยแผลขนาดเล็ก เพื่อที่อาจารย์ผู้ทำ พิธีจะได้นำเอาเหล็กไหลที่เจียระไนเป็นรูปทรงแคปซูลเสกใส่ลงไป แล้วกล่าวพระคาถาเป่าปราณสำทับลงไปอีกครั้งหนึ่ง

พิธีฝังเหล็กไหล
พิธีฝังเหล็กไหล
โดยทั่วไปเมื่อทำพิธีฝังเหล็กไหลเข้าไปในร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะต้องมีการทดสอบหรือที่เรียกกันว่าลองของกันในทันที ซึ่งถือเป็น,ประเพณี'ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา โดยครูบาอาจารย์ผู้ทำพิธีฝังเหล็กไหลจะนำเอามีดปลายแหลมทิ่มแรงๆเข้าที่ท้อง ที่คอ หรือใช้ดาบ คมๆ ฟันลงที่ท้อง ที่หลัง หรือใช้มีดโกนมาเชือดคอของผู้ที่รับการฝังเหล็กไหล แต่ด้วยพลังจิตของครูบาอาจารย์ที่ทำพิธีฝังเหล็กไหล บวกกับอำนาจแห่งเหล็กไหลที่ฝังในร่างกายของคนผู้นั้นจึงบนดาลให้ผู้ที่ถูกทดสอบไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใดเลย จะมีปรากฏก็แต่เพียงรอยแดงๆ คล้ายยางบอนที่เกิดจากการถูกกระแทกอย่างรุนแรงตรงตำแหน่งที่ถูกทดสอบเท่านั้น นอกจากนี้ก็อาจมีอาการจุกที,เกิดจากการจ้วงแทงเข้าไปอย่างแรง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอานุภาพของเหล็กไหลที่มีฤทธิ์ทางด้านอยู่ยงคงกระพันหนังเหนียวว่ามีอิทธิฤทธิ์จริงตามตำรา ซึ่งผู้ที่ผ่านการทดสอบก็จะเกิดความมั่นใจได้ว่าตนเองได้รับความคุ้มครองจากอำนาจของเหล็กไหลเรียบร้อยแล้ว

และหากสามารถปฏิบัติตนได้ตามที่ให้วาจาสัตย์แก่ครูบาอาจารย์ ย่อมได้รับการคุ้มครองจากองค์เหล็กไหลให้แคล้วคลาดปลอดภัย จากภยันตรายใดๆทุกประการ

หลังจากที่ผ่านพิธีการฝังเหล็กไหลเป็นทีเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่เข้ารับการฝังเหล็กไหลก็ต้องระวังบาดแผลไม่ให้โดนน้ำเป็นเวลา 7วัน เพื่อให้แผลแห้งสนิท หลังจากนั้นจึงสามารถปฏิบัติตัวได้ตามปกติทั่วไป ผู้ที่ได้รับการฝังเหล็กไหลนั้นยามเมื่อมีเหล็กไหลอยู่ในรัศมี ที่ใกล้ๆตัวย่อมสามารถรับรู้ได้ทันที โดยผู้ที่ฝังเหล็กไหลท่านหนึ่งเล่าว่าสามารถสังเกตได้จากอาการที่เหล็กไหลใต้ท้องแขนของตนเอง จะส่งกระแสร้อนออกมาทุกครั้งเมื่อมีเหล็กไหลอีกชิ้นหนึ่งเข้ามาใกล้ๆ ตัวหรือยามเมื่อหยิบหรือสัมผัสเหล็กไหลชั้นอื่นก็เช่นกันก็จะมีอาการร้อนที่ปลายนิ้ว ซึ่งความร้อนดังกล่าวเปรียบได้กับการที่มีคนเอาไฟมาลน เหล็กแล้วส่งมาให้ตนจับ ครั้งแรกๆเขาก็นึกว่าถูกเพื่อนแกล้ง แต่มาภายหลังจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าที่เป็นเช่นนั้นคงเป็นเพราะกระแสพลังงานจากเหล็กไหลสององค์ที่ส่งถึงกัน

จากการศึกษาและสัมภาษณ์ผู้ที่ฝังเหล็กไหลหลายท่านพบว่าเหล็กไหลแทบทุกชนิดที่ฝังในร่างกายนั้นมักแสดงปาฏิหาริย์เคลื่อนที่ ไปตามส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์บางท่านทีฝังเหล็กไหล ตาแรดได้เล่าให้ฟังว่าเคยประสบอุบัติเหตุรถชนกันแบบประสานงา ทำให้ส่วนขาของเขาถูกช่วงล่างของรถคันดังกล่าวทับ แต่กลับปรากฏว่าขาไม่หักและเมื่อไปเอกซเรย์ก็ต้องพบกับความน่าอัศจรรย็ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะแพทย์พบว่ามีเหล็กชิ้นหนึ่งอยู่ที่บริเวณขา ซึ่งเมื่อเขาได้พิจารณาฟิล์มเอกซเรย์แล้วก็ต้องแปลกใจ เพราะว่าเหล็กชิ้นนั้นมีรูปร่าง เหมือนเหล็กไหลตาแรดที่เขาเคยฝังไว้ที่ใต้ท้องแขนเขาจึงลองคลำ ที่บริเวณท้องแขนแต่ก็ไม่พบ ทำให้เขาแน่ใจว่าเหล็กไหลตาแรดวิ่งเข้าไป รับจึงทำให้ขาของเขาไม่หักมิหนำซ้ำยังปลอดภัยไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด นอกจากนี้ก็ยังมีประสบการณอื่นๆ ของผู้ที่ฝังเหล็กใหลอีก เช่น เหล็กไหลวิ่งไปรับลูกกระสุนจากการถูกยิง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์จากอานุภาพของเหล็กไหลที่ฝังอยู่ในร่างกาย

การตัดเหล็กไหลเผยแพร่สู่สาธารณชน

การตัดเหล็กไหลเผยแพร่สู่สาธารณชน

เรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหล็กไหลนั้นล้วนเป็นเรื่องราว ที่เร้นลับซับซ้อน เป็นที่น่าสนใจและน่าติดตามในมุมมองของคน โดยทั่วไป จนอาจกล่าวได้ว่าคนไทยมีความผูกพันใกล้ชิดกับธาตุ กายสิทธิ์ชนิดนี้มาก โดยจะเห็นได้จากพระเครื่องหรือวัตถุมงคล ในสมัยก่อนที่ต้องมีธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลปะปนเป็นมวลสารอยู่ บ้างไม่มากก็น้อย

ในราวปีพ.ศ.2537ได้มีรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งนำเสนอ เรื่องราวเกี่ยวกับการติดตามพิสูจน์เหล็กไหลว่ามีจริงหรือไม่แพร่ ภาพออกสู่สาธารณชนจนกลายเป็นประเด็นที่ประชาซนทั่วไปให้ ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยรายการดังกล่าวได้ไปถ่ายทำพิธีการ ตัดเหล็กไหลตามถ้ำต่างๆในประเทศไทย และนับเป็นครั้งแรกที่พิธีกรรมทางไสยศาสตร์อันเร้นลับได้ถูกเปิดเผยสายตาของประชาชน

พิธีกรรมการตัดเหล็กไหลที่ได้ไปบันทึกภาพในครั้งนั้นได้ กระทำขึ้นที่ถํ้าแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี โดยมีบุคคลจากหลากหลาย สาขาอาชีพเข้าร่วมในการพิสูจน์และเป็นสักขีพยานด้วย อาจารย์ผู้ประกอบพิธีกรรมในการตัดเหล็กไหลครั้งนั้นก็เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ในการตัดเหล็กไหลเป็นอย่างมาก ซึ่งในครั้งนั้นท่านก็พร้อมที่จะร่วมพิสูจน์และให้ความร่วมมือในการถ่ายทำเป็นอย่างดี

การตัดเหล็กไหลในครั้งนั้นเป็นการตัดเหล็กไหลน้ำหนึ่ง ที่ไม่แข็งตัวเองตามธรรมชาติโดยการใช้กสิณไฟตัดด้วยเทียน เพียงเล่มเดียว ผู้ทำพิธีได้ไต่ปันไดไม้ไผ่ขึ้นไปจนถึงบริเวณก้อนหิน ที่เหล็ก1ไหลซ่อนตัวอยู่แล้วใช้เทียนลนไปยังบริเวณรังเหล็กไหล

ในเวลาไม่นานก็ปรากฏวัตถุอย่างหนึ่งที่มีสีดำเป็นมันเงาเคลื่อนที่ไปมา คล้ายของเหลวได้ยืดตัวออกมาจากซอกหินบริเวณที่ถูกเทียนลน ต่อหน้าสักขีพยานเป็นจำนวนมาก ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเห็น เหมือนกันหมดว่าของเหลวสีดำนั้นเริ่มยืดตัวออกมาจากรังที่มีสีแดง ราวกับโดนไฟที่มีความร้อนจัดแผดเผา จากนั้นของเหลวสีดำดังกล่าว ก็หลุดตัวออกมาจากซอกหินตกลงมายังผ้าขาวที่ได้เตรียมรับเอาไว้ด้านล่าง

ข่าวเหล็๋กไหลในกลุ่มของสักขีพยานเหล่านั้นล้วนประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักธรณีวิทยา ตลอดจนเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรธรณี ทุกคนในที่ นั้นต่างก็ช่วยกันพิจารณาเหล็กไหลชิ้นที่ตัดมาได้ และทุกคนต่างก็ ยอมรับถึงสิงที่ได้ปรากฏแก่สายตาตัวเองว่าเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ และไม่สามารถหาคำตอบในทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลยคณะพิสูจน์เหล็กไหลจึงได้นำเหล็กไหลชิ้นที่ตัดมาได้ไปตรวจพิสูจน์ ที่กรมทรัพยากรธรณีเพื่อที่จะได้ทราบว่าวัตถุชิ้นนี้คืออะไรกันแน่

ผลการตรวจสอบเหล็กไหลที่ได้จากการทำพิธีตัดในครั้งนั้น ปรากฏว่าวัตถุที่ได้นั้นไม่ใช่วัตถุธาตุบนโลก แต่มีลักษณะเหมือนกับ สะเก็ดดาวหรืออุกกาบาตที่ตกลงมายังโลกอันเป็นวัตถุธาตุที่อยู่ ในห้วงจักรวาลที่เดินทางผ่านกาลเวลาและระยะทางอันแสนยาวนาน มาจากนอกโลกกว่าจะเดินทางมาถึงยังโลกของเรา

อันที่จริงก็ยังมืวัตถุธาตุจากห้วงอวกาศที่เดินทางเข้ามายัง โลกอีกหลายชนิด บางชนิดเดินทางลงมาเป็นลำแสงแต่ไม่สามารถ หาตัววัตถุเหล่านั้นได้พบ บางชนิดที่มีขนาดใหญ่มากจึงไม่สามารถ เดินทางเข้ามายังชั้นบรรยากาศของโลกได้ด้วยวิธีการธรรมดา ดังนั้นการที่จะสามารถเดินทางมายังโลกได้ต้องอาตัยการเดินทางผ่านประตูมิติเวลา เนื่องจากการเดินทางผ่านประตูแห่งกาลเวลา จะทำให้เงื่อนไขของเวลาและระยะทางหมดไป

จากผลการพิสูจน์ที่ออกมายิ่งทำให้คณะพิสูจน์เหล็กไหลและ กลุ่มสักขีพยานไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าแท้ที่จริงแล้วเหล็กไหล คืออะไรกันแน่ เพราะหากธาตุชนิดนี้ไม่ใช่วัตถุธาตุบนโลกแล้วเหล็กไหล เดินทางมาจากที่ไหนและมาบนโลกเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? นอกจากนี้ทางรายการยังได้แพร่ภาพพิธีกรรมการตัดเหล็กไหล ณ สถานที่อื่นๆอีกหลายครั้ง ซึ่งผลปรากฏว่าเหล็กไหลที่ได้ก็มีลักษณะที่ใกล้เคียงกันคือเป็นของเหลวสีดำเป็นมันเงาสามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ราวกับเป็นสิงที่มีชีวิตเมื่อโดนไฟลนก็จะสามารถยืดตัวและหดตัวได้ เหล็กไหลน้ำหนึ่งนั้นจะมีลักษณะรูปพรรณสัณฐานเป็นของเหลวคล้ายปรอทและไม่ยอมแข็งตัวเองตามธรรมชาติ จนกระทั่งถูกตัดออกมาจากรังแล้วจึงจะแข็งตัว เหล็กไหลน้ำหนึ่งมีหลากหลายสีด้วยกัน แต่เท่าที่เคยพบก็มีสีดำ สีท้องปลาไหล สีเขียวอมดำ เขียวหัวเป็ด เขียวอมทอง เขียวปีกแมลงทับ สีน้าเงินอมดำ และไม่มีสี (เป็นแก้วใส)

แม้ว่าจะเคยมีรายการทางโทรทัศน์ได้เผยแพร่เรื่องราว เกี่ยวกับเหล็กไหลไปแล้วก็ตาม หากแต่เรื่องราวของเหล็กไหลนั้น ก็ยังคงเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจหาคำตอบให้ได้และยังคง เป็นสิ่งที่เหนือความรู้และความคิดของคนโดยทั่วไปอีกมาก แต่ทั้งนี้ มิได้หมายความว่าเหล็กไหลจะเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติ หรือขัดต่อหลักของธรรมชาติแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าวิทยาการความเบนโลกเรา ยังไม่อาจเข้าใจธาตุกายสิทธื้ที่มาจากนอกโลกชนิดนี้ได้ จึงมีเรื่องราว อันเร้นลับอีกมากมายของเหล็กไหลที่มนุษย์ยังคงไม่รู้

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

ชนิดของเหล็กไหลที่ใช้ฝังในร่างกาย

ชนิดของเหล็กไหลที่ใช้ฝังในร่างกาย

สำหรับเหล็กไหลที่ใช้ฝังในบริเวณใต้ท้องแขนนั้นมีด้วยกันหลายชนิดได้แก่
1. เหล็กไหลตาแรด
2. เหล็กไหลโคตรทรหด
3. เหล็กไหลเงินยวง
4. เหล็กไหลเพชร
5. เหล็กไหลโกฏิปี
6.แร่ทองคำ (ทองคำถือว่าเป็นเหล็กไหลเผ่าพันธุ์หนึ่งจึงไม่นิยม นำมาฝังในร่างกาย )

สันนิษฐานว่าชนิดของเหล็กไหลที่นำมาฝังในร่างกายคงมี มากกว่านี้แต่ยังเป็นที่ปกปิด นอกจากนี้ในบางตำรายังกล่าวว่า สามารถ นำเอาเหล็กไหลมาแช่กับว่านยาบางอย่างจนเหล็กไหลอ่อนตัวกลายเป็น ของเหลวแล้วใช้ดื่มจะช่วยทำให้อายุยืนนับหมื่นปีมีร่างกายเป็นกายสิทธิ์ เหล็กไหลที่นำมาใช้สำหรับฝังในร่างกายนั้นพบว่าสามารถใช้ ฝังได้แทบทุกชนิดเพียงแต่จะสามารถหาเหล็กไหลชนิดนั้นมาได้หรือไม่เท่านั้นอย่างเช่น เหล็กไหลโกฏิปีสีปีกแมลงทับซึ่งเชื่อกันว่าฤาษีโบราณ มักนิยมฝังไว้ในร่างกายหรือไม่ก็ถอดจิตตัวเองเข้าไปอยู่ในเหล็กไหลเสียเอง

นอกจากนี้ยังมีครูบาอาจารย์ในสายเขมรซึ่งท่านนิยมเลี้ยงเหล็กไหลไว้ในร่างกายจนเมื่อมีความต้องการที่จะฝังเหล็กไหลให้แก่ให้ลูกศิษย์ ท่านจึงจะคายออกมาทางปากแล้วทำการฝังเหล็กไหลซึ่งยังไม่แข็ง ตัวลงที่ใต้ท้องแขนของลูกศิษย์ เหล็กไหลที่ยังไม่แข็งตัวนี้ยังสามารถ เคลื่อนที่โยกย้ายตัวเองไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ด้วยเพราะ มีสภาพเป็นของเหลว

ตำแหน่งที่ใช้ฝังเหล็กไหลภายในร่างกาย

ตำแหน่งที่ใช้ฝังเหล็กไหลภายในร่างกาย

ฝังเหล็กไหล
ฝังเหล็กไหล
การฝังเหล็กไหลภายในร่างกายสามารถเลือกตำแหน่งที่จะฝัง เหล็กไหลได้หลายที่ด้วยกันอาทิเช่น ท้องแขน หัวไหล่ คอหอย หน้าอก แผ่นหลัง เป็นต้น แต่ตำแหน่งที่ได้รับความนิยมที่สุดในการฝังเหล็กไหล คือบริเวณใต้ท้องแขนกับหลังใบหู ทั้งนี้เนื่องจากเป็นบริเวณที่ทำ ได้ง่ายและสะดวกที่สุด ไม่เป็นอันตรายทั้งในขณะทำการฝังและหลังจากที่ฝังไปแล้ว เพราะเป็นบริเวณที่มีโอกาสได้รับการกระทบ กระเทือนน้อยที่สุด อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่สามารถซ่อนไม่ให้ผู้อื่น พบเห็นได้โดยง่ายว่ามีการฝังเหล็กไหลไว้ในตัว ในสมัยโบราณยังนิยมฝังเหล็กไหลไว้ในตำแหน่งอื่นๆ อีกด้วย เช่นหัวไหล่ เพราะในยามที่มีอันตราย ผู้ที่ฝังเหล็กไหลก็จะบริกรรมคาถา พร้อมทั้งนวดคลึงหัวไหล่ของตนเองตรงบริเวณที่มีเหล็กไหลฝังอยู่ เมื่อเหล็กไหลได้รับสัญญาณจากการท่องพระเวทย์คาถาอาคม ก็จะทำการสำแดงฤทธิ์ โดยแผ่รังสีปกป้องคุ้มครองออกมาทำให้มีฤทธิ์ ในทางอยู่ยงคงกระพันหรือแคล้วคลาดปลอดภัยได้ แต่หากฝังเหล็กไหล อยู่ใต้ท้องแขน ในยามที่มีภัยก็จะใช้การตบที่ต้นแขนเบา ๆ เหมือน เป็นการปลุกเหล็กไหลพร้อมทั้งบริกรรมคาถาที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา

ความหมายของการฝังเหล็กไหล

ความหมายของการฝังเหล็กไหล

ฝังเหล็กไหล
ฝังเหล็กไหล
เหล็กไหลเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่หาได้ยากจึงทำให้เหล็กไหลแต่ละชิ้นมีราคาสูง เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษยในทุกยุคจึงได้พยายามคิดค้นวิธีการเก็บรักษาเหล็กไหลให้อยู่กับตัวให้ดีที่สุดและยาวนานที่สุดไม่ว่าจะเป็นการเลี่ยมห้อยคอใส่ผ้าประเจียดรัดแขน หรือทำเป็นสร้อยคอ แต่วิธีการต่างๆเหล่านี้ก็ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากนักรบในสมัยโบราณที่ต้องการใช้เหล็กไหลเข้าทำศึกในลักษณะที่ประชิดตัวนั้นอาจทำให้ผ้าประเจียดหรือสร้อยคอที่นำเหล็กไหลไปใส่ไว้เกิดสูญหายหรือหล่นหาย ไปในขณะที่กำลังรบได้จึงเป็นที่มาของวิชาหนึ่งที่นำเอาธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้มาบรรจุไว้ในร่างกายของมนุษย์ซึ่งเรียกว่า"วิชาการฝังเหล็กไหล" การฝังแร่เหล็กไหลจึงหมายถึงการนำธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหล มาฝังลงในร่างกายในตำแหน่งที่สามารถค้นหาเหล็กไหลได้ยาก เช่น บริเวณท้องแขนหัวไหล่หรือต้นคอ เป็นต้นซึ่งเป็นตำแหน่งที่จะสังเกตเห็นแร่เหล็กไหลได้ยาก เมื่อเก็บเหล็กไหลไว้ในตำแหน่งเหล่านี้ก็จะทำให้เหล็กไหลอยู่ติดตัวผู้เป็นเจ้าของเหล็กไหลนั้นตลอดเวลา โดยที่ผู้อื่นหรือคู่ต่อสู้จะไม่สามารถพบเห็นได้ว่าผู้นั้นมีเหล็กไหลพกติดตัวอยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นการศึกสงครามหรือตกเป็นเชลยข้าศึกก็จะไม่สามารถพบเห็นแร่เหล็กไหลเหล่านี้ได้เลย

วิชาการฝังเหล็กไหลในตัวนี้ นับเป็นวิชาโบราณขนานแท้วิชา หนึ่งจากหลักฐานความเชื่อเกี่ยวกับการฝังของลงในร่างกายนั้น พบว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและเป็นวิชาที่ใช้ร่วมกับการสักยันต์ สำหรับ ของที่ใช้ฝังนั้น หากหาเหล็กไหลไม่ได้ก็นิยมฝังแก้วชนิดต่างๆ ที่เชื่อว่า มีฤทธิ์ เช่น เพชร ทับทิม หรือฝังตะกรุด ฝังเข็มทอง แต่ที่ได้รับความนิยมว่ายอดที่สุดคือเหล็กไหล เนื่องจากมีอานุภาพคุ้มครองป้องกันได้ทุกอย่างรวมทั้งยังสามารถทำลายอาถรรพณ์ของฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วย แม้ว่าการนำเอาพลังอำนาจจากเหล็กไหลมาใช้จะสามารถ ทำได้หลายวิธีด้วยกันแต่วิธีที่ได้รับความนิยมและเชื่อถือกันมากที่สุดคือ การนำเหล็กไหลมาฝังไว้กับตัว ซึ่งจุดประสงค์ของการฝังเหล็กไหลไว้ภายในร่างกายนั้นก็เนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า

1. การฝังเหล็กไหลไว้ภายในตัวจะทำให้เหล็กไหลไม่หนีหาย ไปไหน เพราะโดยปกติเหล็กไหลจะสามารถล่องหนหายตัวไปยังที่ต่างๆได้ ซึ่งหากเหล็กไหลไม่ต้องการที่จะอยู่ด้วยแล้ว แม้ว่าจะเก็บรักษา เหล็กไหลไว้เป็นอย่างดี แต่เหล็กไหลก็ยังจะสามารถหนีหายไปได้ ดังนั้นจึงต้องหาวิธีที่จะทำให้เหล็กไหลไม่หนีหายไปไหน และวิธีการที่นิยมมากที่สุดก็คือการฝังเหล็กไหลไว้ในร่างกายซึ่งสามารถมั่นใจได้ว่าเหล็กไหลจะอยู่กับคนผู้นั้นไปชั่วชีวิต นอกจากนี้ยังเชื่อว่าอำนาจจากเหล็กไหลที่ฝังอยู่ในร่างกายจะทำให้ผู้นั้นคงกระพันเป็นมหาอุด ทนต่อศาสตราวุธอีกทั้งยังมีพลังที่ทำให้ดูเป็นหนุ่มสาวอีกด้วย

เหล็กไหลเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีญาณหยั่งรู้เหล็กไหลจึงรู้ชะตาของผู้ที่ฝังเหล็กไหลไว้ในร่างกายได้ล่วงหน้าว่าธาตุขันธ์ของผู้นั้นใกล้จะถึงกาลแตกดับแล้ว ซึ่งหากผู้นั้นใกล้ที่จะหมดอายุขัยเหล็กไหลที่ฝังอยู่ในร่างกายก็จะหนีหายไปทันทีที่เหล็กไหลออกจากกายของคนผู้นั้นจะสามารถทราบได้ในทันทีเพราะจะมีความรู้สึกว่าพลังร่างกายบางส่วนได้ขาดหายไปในช่วงนี้ผู้ที่รู้ก็จะเร่งบำเพ็ญเพียรภาวนา และประกอบแต่กุศลกรรมเพื่อที่ตายไปจะได้ใปสู่ภพภูมิที่ดี

2. การฝังเหล็กไหลไว้ภายในตัวจะทำให้เหล็กไหลสามารถ สำแดงอานุภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นความเชื่อในลักษณะเดียวกันกับการใช้ว่านที่ว่าว่านจะมีอิทธิฤทธิ้มากที่สุดก็ต่อเมื่อเคี้ยว กินเข้าไปหรือทำให้นั้ายาว่านเข้าไปในตัวการใช้เหล็กไหลก็เช่นกัน หากต้องการให้เหล็กไหลแผ่พลังอำนาจอย่างสมบูรณ์ก็ต้องให้เหล็กไหลสัมผัสถูกต้องเนื้อตัวอยู่ตลอดเวลา รังสีจากแร่เหล็กไหล จึงจะสามารถแสดงศักยภาพออกมาอย่างสมบูรณ์ที่สุด และร่างกายของคนผู้นั้นก็จะสามารถรับพลังงานจากเหล็กไหลได้อย่างเต็มที่เช่นกัน การฝังเหล็กไหลจะส่งผลให้เหล็กไหลมีปฏิกิริยากับผิวหนัง และเลือดเนื้อภายในตัวของผู้ที่ฝังเสมือนว่าเหล็กไหลกับตัวผู้นั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าผู้นั้นจะรู้สึกอย่างไรเหล็กไหลก็จะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอย่างนั้นด้วย เหล็กไหลจะสามารถรับรู้ได้ด้วยญาณทัสนะอย่างแจ่มชัดเป็นผลให้เหล็กไหลส่งพลังป้องกันตัวเองออกมาอย่างเต็มที่หรือแม้ในยามที่ผู้นั้นรู้สึกร้อนหนาวเหล็กไหลก็จะรับรู้และจะทำ การปรับอุณหภูมิในตัวผู้นั้นให้พอดีเพื่อขจัดความร้อนหนาวให้สิ้นไปได้


3. การฝังเหล็กไหลไว้ในร่างกายเป็นการอำพรางทำให้ผู้อื่น ไม่เห็นของดีในตัวเรา ถือเป็นการซ่อนอาวุธลับไม่ให้ศัตรูได้ว่าเรามี ของดีอะไร เพราะหากศัตรูรู้ได้ว่าเรามีเหล็กไหลเขาก็อาจเรียกเอาเหล็กไหลไปได้ด้วยคาถาอาคม ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นรู้ได้ว่า เรามีของดีอยู่กับตัว จึงต้องทำการฝังของดีนั้นไว้ในร่างกายซึ่งนับว่าปลอดภัยที่สุด

การตัดเหล็กไหลด้วยการเพ่งเทียนกสิณ

การตัดเหล็กไหลด้วยการเพ่งเทียนกสิณ

ผู้ที่จะทำการตัดเหล็กไหลด้วยวิธีการเพ่งกสิณได้จะต้องเป็นผู้ ที่มีความเข้าใจในเรื่องธาตุอย่างถ่องแท้โดยเฉพาะธาตุไฟ เพราะจะต้องสามารถควบคุมธาตุไฟให้เป็นไปตามความต้องการของตนได้รวมถึงจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและเข้าใจในธรรมชาติ ของเหล็กไหลได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการตัดเหล็กไหลด้วยวิธีนี้ จะใช้แค่เทียนอาคมที่เป็นเทียนขี้ผึ้งแท้เพียงเล่มเดียวเท่านั้น

เทียนขี้ผึ้งที่ใช้อาจจะชโลมไว้ด้วยน้ำผึ้งหรือไม่ก็ได้ เมื่อเตรียมเทียนอาคมเป็นที่เรืยบร้อยแล้วก็จุดเทียนเล่มดังกล่าว แล้วนำไปลนยังบริเวณรอบๆ รังเหล็กไหล ผู้ที่ทำการตัดเหล็กไหลจะต้องกำหนดจิตใช้อำนาจกสิณไฟเพื่อเร่งธาตุความร้อนของเปลวไฟจากเทียนเพียงเล่มเดียวให้เกิดอานุภาพความร้อนเท่ากับความร้อน ของเปลวไฟจากเทียนนับล้านๆเล่มให้ได้

รังเหล็กไหลที่ถูกลนด้วยเปลวไฟกสิณจะมีลักษณะสีแดง ฉานเหมือนเหล็กที่ถูกหลอมในเตาไฟ จากนั้นเหล็กไหลที่ยึดตัวอาศัยอยู่ในรังเหล็กไหลดังกล่าวก็จะยืดตัวออกมาจากรัง ในขั้นตอนนี้จะ ต้องมีการเตรียมของอันเป็นมงคล เช่น ผ้าขาวลงอาคมอักขระ อ่างน้ำผึ้ง อ่างน้ำมนต์ไว้สำหรับรองรับเหล็กไหลที่ยืดตัวออกมาจากรัง ซึ่ง เหล็กไหลที่ได้จากการตัดด้วยวิธีนี้จะมีสัณฐานคล้ายกับหยดนั้าอันเกิดจากการที่เหล็กไหลยืดตัวเองและเยิ้มหยดตัวลงมาก่อนที่ เหล็กไหลจะแยกตัวหลุดมาจากรังด้วยไฟกสิณนั่นเอง

เหล็กไหลที่ได้จากการตัดด้วยไฟกสิณส่วนมากมักเป็นเหล็กไหลเจ้าป่า(พญาเพชรดำ) หรือเหล็กไหลประเภทอุลกมณีและเมื่อนำเหล็กไหลที่ได้จากการตัดด้วยการใช้กสิณไฟจาก เปลวเทียนไปตรวจสอบก็จะพบว่าส่วนใหญ่เป็นหินที่มาจากนอกโลก โดยจะเป็นหินจำพวกสะเก็ดดาวและเนื่องจากเหล็กไหลดังกล่าวมีลักษณะที่เหมือนกับอุกกาบาตที่ตกลงมายังโลก ในบางครั้งจึงเรียกเหล็กไหลประเภทนี้ว่า "เหล็กไหลจากต่างดาว"

การตัดเหล็กไหลโดยใช้พลังจิต

การตัดเหล็กไหลโดยใช้พลังจิต

การตัดเหล็กไหลโดยใช้พลังจิตในการตัดจะเริ่มต้นจากการเทน้ำผึ้งพระจันทร์ (น้ำผึ้งป่าที่ผ่านการทำพิธีอาบแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญมาแล้วอย่างน้อยสามครั้ง) ลงบนฝ่ามือแล้วกำหนดจิตเรียก เหล็กไหลให้ไหลเยิ้มตัวลงมาเสพนั้าผึ้งพระจันทร์นั้น เมื่อเหล็กไหลประเภทนั้าหนึ่งไม่อาจทนความหอมหวานจากนั้าผึ้งพระจันทร์ได้ก็จะทำตัวไหลย้อยออกมาคล้ายตัวปลิงหรือไม่ก็ย้อยตัวลงมาเป็นเส้นบางๆคล้ายใยบัวหรือเส้นผมผู้หญิงลงมาบนฝ่ามือจากนั้นผู้ตัดจะคลึงเหล็กไหลที่ลงมาเสพน้ำผึ้งไปมาบนฝ่ามือ เมื่อน้ำผึ้งกับเหล็กไหลกลิ้งรวมเข้าด้วยกันแล้วเหล็กไหลก็จะออกมาจากรังเหล็กไหล โดยจะมืสัณฐานเป็นแท่งยาวคล้ายแคปซูลผิวเนื้อเหล็กไหลจะเรียบเป็นมันแวววาวไม่มีรอยขีดข่วนดูคล้ายกับเนื้อของธาตุปรอทกลิ้งอยู่ในฝ่ามือไปเรื่อยๆ รอจนกว่าเหล็กไหลจะเสพกลิ่นและเสพรสจากน้ำผึ้งพระจันทร์จนเป็นที่พอใจแล้วเส้นใย ของเหล็กไหลจึงจะเริ่มชักตัวเองกลับเข้ารังในช่วงเวลานี้เองที่อาจารย์ผู้กระทำพิธีจะกล่าวคาถาพร้อมกับกำหนดจิตเพื่อตัดเหล็กไหลออก จากรังด้วยการกระชากมือเบา ๆ ให้เล้นใยเหล็กขาดออกจากกัน เมื่อเหล็กไหลถูกตัดใหม่ๆ จะยังคงมีลักษณะเป็นของเหลวข้นคล้ายกับ ปรอทและมีน้ำหนักดุจดั่งโลหะประเภทเหล็ก สามารถกลิ้งไปมาบน ฝ่ามือได้เหมือนกับธาตุปรอทและจะเริ่มแข็งตัวในเวลาต่อมา

เหล็กไหลที่ได้จากการตัดโดยวิธีนี้จะมีสัณฐานเป็นแท่งคล้ายแคปซูล ซึ่งเป็นรูปทรงที่เกิดจากการกลิ้งมวลเหล็กไหลบนฝ่ามือ แร่เหล็กไหลที่ได้ จากการตัดในลักษณะนี้มักเป็นเหล็กไหลน้ำหนึ่งซึ่งหาได้ยากมากที่สุด ในขณะที่เหล็กไหลยืดตัวออกมาเสพน้ำผึ้งในลักษณะคล้ายกับใยบัวหรือเส้นผมนั้นนับว่าเป็นช่วงที่อันตรายและน่าสะพรึงกลัวมากที่สุด เพราะหากตัดเหล็กไหลผิดจังหวะแล้วเส้นใยของเหล็กไหล ที่ยืดตัวออกมาจะตวัดพันร่างกายของผู้ที่ตัดเหล็กไหลให้ขาดออก เป็นชิ้นๆ ได้ ถ้าเหล็กไหลตวัดพันถูกส่วนไหนชองร่างกายแล้ว ร่างกายส่วนนันก็จะถูกตัดขาดออกจากกันทันที

ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการตัดเหล็กไหลจึงควรเป็นช่วง เวลาที่เหล็กไหลเสพน้ำผึ้งจนอิ่มแล้ว และจะต้องเป็นจังหวะเดียวกัน กับที่เส้นใยของเหล็กไหลกำลังจะชักตัวกลับรัง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการตัดเหล็กไหลโดยวิธีนี้ ผู้ที่ทำการตัดเหล็กไหลจะต้องมีความชำนาญเป็นอย่างมากจึงจะสามารถรู้ว่าช่วงเวลาไหนที่เหล็กไหลเสพน้ำผึ้งเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังจะชักตัวกลับรังเมื่ออาจารย์ผู้ประกอบพิธีตัดเหล็กไหลได้สื่อสารด้วยกำลังฌานจนแน่ใจว่า เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทาง หรือเจ้าของถ้ำซึ่งเป็นพลังงานที่ดูแลคุ้มครองเหล็กไหลชิ้นดังกล่าวได้อนุญาตและมอบเหล็กไหลชิ้นนี้ให้ในขณะที่เหล็กไหลกำลังจะหดตัวกลับรังนั้นเอง ท่านก็จะกล่าวคาถาตัดเหล็กไหล กล่าวคำขอขมาและกล่าววาจาสัตย์อธิษฐานจิต ให้แน่วแน่ถึงจุดประสงคํที่มาขอเหล็กไหลว่าจะนำไปเพื่อใช้ทำอะไร ซึ่งคำสัตย์เหล่านี้จะคอยควบคุมเหล็กไหลชิ้นนั้นตลอดเวลา

และหากเริ่มผิดคำสัตย์ตามทีได้กล่าวไว้เมื่อใด เหล็กไหลก็จะเริ่มให้โทษแก่ผู้ครอบครองและจะหาหนทางกลับมายังรังที่อยู่เดิมอีกครั้ง หลังจากที่ตัดเหล็กไหลมาได้แล้วจะต้องนำเหล็กไหลมาอธิษฐาน ที่หน้าปากถ้ำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเปีนการตรวจดูให้แน่ซัดว่าเป็นเหล็กไหล ประเภทที่ต้องการหรือไม่และหากไม่ใช่เหล็กไหลชนิดหรือประเภทที่ได้กล่าวสัจจะวาจาขอเอาไว้ก็ต้องนำเหล็กไหลชิ้นนั้นไปวางคืนไว้ที่ภายในถ้ำ เพราะหากนำเหล็กไหลผิดชนิดหรือผิดประเภทซึ่งไม่ตรงตามที่ได้กล่าวสัจจะขอไว้กลับไปก็จะเป็นอันตรายกับตนเองอย่างใหญ่หลวง

การตัดเหล็กไหล

การตัดเหล็กไหล

การตัดเหล็กไหลการจะตัดเหล็กไหลอันเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ได้นั้นไม่ใช่ของง่ายที่ใครๆ จะสามารถทำได้ทุกคน เนื่อจากเหล็กไหล เป็นวัตถุธาตุที่มีลักษณะพิเศษ คือหากเป็นเหล็กไหลชั้นดีหรือที่เรียกว่าเหล็กไหลน้ำหนึ่งนั้น เหล็กไหลประเภทนี้สามารถที่จะยืด ตัวเองหรือย้อยตัวเองลงมาจากรังที่มันอาศัยอยู่ได้ อีกทั้งยังสามารถ หดตัวเองกลับได้และสามารถเคลื่อนตัวไปไหนมาไหนได้ราวกับ เป็นสิงทีมีชีวิตและมีจิตวิญญาณ

การตัดเหล็กไหลในธรรมชาติจึงแบ่งออกได้เป็นสองประเภท คือการตัดเหล็กไหลชั้นดีหรือเหล็กไหลน้ำหนึ่งที่ไม่ยอมแข็งตัวเอง ตามธรรมชาติซึ่งต้องใช้วิชาการตัดเหล็กไหลเพื่อตัดเหล็กไหล ประเภทนี้ออกจากรังของมัน กับอีกประเภทหนึ่งคือการตัดเหล็กไหล ชั้นรองที่แข็งตัวเองอยู่ตามผนังภายในถ้ำซึ่งสามารถตัดเหล็กไหลประเภทนี้ออกมาจากรังได้ง่ายกว่าการตัดเหล็กไหลน้ำหนึ่งมาก

ดังนั้นผู้ที่จะทำการตัดเหล็กไหลได้จะต้องเป็นผู้ที่รู้ในศาสตร์วิชานี้อย่างแท้จริงและจะต้องมีประสบการณ์จริงในการ ตัดเหล็กไหล เพราะหากจะอาศัยเพียงแค่คำบอกเล่าย่อมไม่อาจทำการตัดเหล็กไหลได้ อีกทั้งต้องเคยเป็นลูกมือที่คอยช่วย ครูบาอาจารย์ไนการประกอบพิธีตัดเหล็กไหลมาแล้วไม่ต่ำกว่าห้าถึงหกครั้งจึงพอจะสามารถกระทำพิธีตัดเหล็กไหลด้วยตัวเองได้ นอกจากนี้ยังต้องเรียนรู้ถึงวิธีป้องกันอันตรายอันอาจเกิดจาก ฤทธิ์อำนาจของเหล็กไหลในขณะที่ตัดเหล็กไหลแต่ละชนิดอีกด้วย

เหล็กไหลแต่ละชิ้นจะมีจิตวิญญาณที่แตกต่างกันออกไป บางชิ้นเป็นสัมมาทิฐิซึ่งผู้ที่ครอบครองเหล็กไหลจะต้องปฏิบัติตน อย่างเคร่งครัดในเรื่องการบูชาและการดูแล มิฉะนั้นพลังงานภาย ในเหล็กไหลอาจให้ผลร้ายแก่ผู้ที่ครอบครองได้ ในการตัดเหล็กไหล จึงมีผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ต้องจบชีวิตลงไปมากมายหลายรายแล้ว การตัดเหล็กไหลจึงต้องกระทำโดยผู้ที่มีประสบการณ์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากครูบาอาจารย์ในสายนี้โดยตรงเท่านั้น

จึงจะสามารถรู้เคล็ดลับวิธีการตัดเหล็กไหลแต่ละชนิดและรู้ถึงลักษณะของเหล็กไหลแต่ละชนิดว่ามีคุณสมบัติอย่างไร มีฤทธิ์อำนาจดีทางไหนประเภทไหนใช้พกติดตัวได้ประเภทไหนใช้ทำน้ำมนต์หรือประเภทไหนเป็นอันตรายห้ามนำมาไว้ในครอบครอง ซึ่งหากไม่รู้จริงในเรื่องเหล่านี้ก็อาจนำพาอันตรายมาถึงตัวโดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์

วิธีการตัดเหล็กไหลนั้นจะต้องเริ่มต้นจากการเรียนรู้ถึงลักษณะและคุณสมบัติของเหล็กไหลแต่ละซนิดเสียก่อน จากนั้นจึงศึกษาถึงธรรมชาติของเหล็กไหลแต่ละชนิดว่าเหล็กไหลแต่ละชนิดนั้นชอบอาศัยอยู่ในสถานที่แบบใดเราจะต้องทราบเกี่ยวกับ ลักษณะของสถานที่ว่าถ้ำในลักษณะไหนมีเหล็กไหลอาศัยอยู่ โดยถ้ำที่เหล็กไหลชอบอาศัยอยู่นั้นทั่วไปแล้วจะต้องเป็นถ้ำที่อยู่ในป่าลึกลี้ลับอยู่ห่างไกลจากผู้คน และเป็นถ้ำที่เข้าถึงได้ยากอีกทั้งมักจะได้ยิน เสียงฟ้าคำรามในแถบบริเวณถ้ำนั้นอยู่บ่อย ๆ ไมว่าจะมีพายุฟ้าฝนหรือไม่ก็ตาม ส่วนบรรยากาศบริเวณถ้ำจะอึมครึม แสงแดดจะไม่ร้อน จัดแต่จะออกนวลๆและเมื่อเข้าไปภายในถ้ำจะมีความชื้นสูง อากาศจะเยือกเย็นผิดปรกติ บางครั้งถึงกับหนาวและมักพบธารน้ำ อยู่ภายในถ้ำด้วย

หากนำเครื่องใช้ใฟฟ้าติดตัวไป เครื่องใช้ไฟฟ้าจะถูกรบกวนและดึงพลังงานไฟฟ้าออกไปจนสังเกตเห็นได้ชัดเช่นเมื่อเปิดถ่านไฟฉายในถ้ำที่มีลักษณะดังกล่าวจะพบว่าพลังไฟจากถ่านจะหมดลงอย่างรวดเร็วเป็นต้น หากได้พบสถานที่ที่มีลักษณะตามที่กล่าวมานี้แสดงว่าได้พบสถานที่ที่มีเหล็กไหลชั้นยอดประเภทเหล็กไหลนั้าหนึ่งอันเป็นสุดยอดในบรรดาเหล็กไหลที่ไม่ยอมแข็งตัวเองตามธรรมชาติซึ่งต้องรอผู้มีบุญบารมีมาเรียกหรือตัดเอาไปอย่างเช่น เหล็กไหลปีกแมลงทับ เหล็กไหลโกฏิปี เหล็กไหลเพลิง เหล็กไหลเจ้าป่า อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างแน่นอน ในการตัดเหล็กไหลจะต้องรู้ถึงวิธีการที่จะทำให้เหล็กไหลยืดตัวออกมาจากรังเหล็กไหลเสียก่อนซึ่งวิธีการหนึ่งที่ใช้ได้ผลก็คือ "การนำน้ำผึ้งมาล่อ" แต่ขั้นตอนที่ยากกว่านั้นอยู่ที่ว่าเมื่อเหล็กไหลยืดตัวออกมาเสพน้ำผึ้งแล้วจะทำอย่างไรจึงจะสามารถตัดเหล็กไหลนั้นได้ ซึ่งตามตำนานก็ได้กล่าวถึงวิธีการตัดเหล็กไหลไว้หลากหลายวิธีด้วยกัน เช่น การตัดโดยใช้เส้นผมของผู้หญิงพรหมจรรย์ที่ชุบด้วยเลือดของสาวพรหมจรรย์นั้นอีกทีหรือการตัดโดยใช้กริชเงิน 9 ขดที่ลงอาคมสำหรับการตัดเหล็กไหลไว้โดยเฉพาะนอกจากนี้ก็ยังมีวิธีอื่นๆ

การตัดเหล็กไหลพลังจิตในการตัด

การตัดเหล็กไหลด้วยการเพิ่งเทียนกสิณ

การเรียกเหล็กไหล

การเรียกเหล็กไหล

หลังจากที่เราได้ทราบถึงวิธีในการหาเหล็กไหลแล้วก็มา ถึงขั้นตอนที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการเรียกเหล็กไหลให้ออกมาจากรังเหล็กไหล ซึ่งวิธีการเรียกเหล็กไหลโดยทั่วไปแล้วจะเริ่มต้น ด้วยการทำพิธีบวงสรวงเจ้าป่าเจ้าเขารวมถึงเจ้าที่ผู้ดูแลเหล็กไหล โดยครูบาอาจารย์ผู้ประกอบพิธีเรียกเหล็กไหลจะทำการบวงสรวง ถวายต่อเจ้าป่าเจ้าเขาผู้ดูแลเหล็กไหลที่บริเวณหน้าปากถ้ำ เพื่อเป็นการเสี่ยงทายว่าเจ้าป่าเจ้าเขาที่ดูแลเหล็กไหลชิ้นนั้นอยู่จะยอมอนุญาตให้นำเหล็กไหลออกไปได้หรือไม่ ซึ่งจะสังเกตได้จาก ธูปเทียนที่จุดบูชาว่าจะติดไฟจนหมดหรือว่าดับกลางคัน หากว่าธูปเทียนเกิดดับกลางคันแสดงว่าเจ้าป่าเจ้าเขาไม่ยินยอมให้เหล็กไหลชิ้นนั้น จำต้องยุติพิธีกรรมการตัดเหล็กไหลในครั้งนั้นทันทีเพราะถ้ายังคงดื้อดึงที่จะกระทำพิธีต่อไปก็อาจจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้


รังเหล็กไหล
แต่หากว่าธูปเทียนติดไฟจนหมดก็แสดงถึงว่าเจ้าป่าเจ้าเขาอนุญาตให้นำเหล็กไหลชิ้นนั้นออกไปได้ ครูบาอาจารย์ผู้ที่จะทำพิธีเรียกเหล็กไหลก็จะเริ่มพิธีการเรียกเหล็กไหลโดยจะเทน้ำผึ้งชนิดพิเศษที่ เรียกว่า "น้ำผึ้งพระจันทร์" (นํ้าผึ้งป่าที่ถูกปาดจากรังผึ้งในคืนวันเพ็ญ) ลงบนฝ่ามือจากนั้นจะยื่นฝ่ามือเข้าไปใกล้ๆรังเหล็กไหล แล้วกำหนดจิตถึงเหล็กไหลที่อยู่ภายในรัง หลังจากนั้นเพียงไม่นานเหล็กไหลก็จะยืด ตัวลงมาเสพน้ำผึ้งในฝ่ามือจนหมด ซึ่งหากต้องการที่จะตัดเหล็กไหล จะต้องกระทำในช่วงที่องค์เหล็กไหลกำลังยืดตัวอยู่นั้นเอง โดยต้อง ตัดใยเหล็กไหลให้ขาด เหล็กไหลที่ตัดได้จะนิ่มตัวอยู่บนฝ่ามือสักครู่ จากนั้นจึงแข็งตัวเอง
แต่โดยมากแล้วการเรียกเหล็กไหลนั้นเป็นเพียง การขอชมบารมีจากองค์เหล็กไหล ดังนั้นผู้ที่ทำการเรียกเหล็กไหล จึงไม่นิยมตัดเหล็กไหล แต่หากต้องการครอบครองเหล็กไหลที่จะทำการเรียกจะต้องมีการกำหนดจิตบอกต่อเจ้าป่าเจ้าเขาว่าต้องการ เหล็กไหลชนิดไหนสีสันวรรณะใด ต้องแจ้งให้ชัดเจน เพราะเมื่อเรียกเหล็กไหลออกมาแล้วเหล็กไหลที่ได้มาผิดไปจากชนิดที่ได้ขอไว้ก็ไม่สามารถนำเหล็กไหลชิ้นนั้นออกมานอกถาได้ จะต้องคืนให้แก่เจ้าป่าเจ้าเขาไป เพราะถือว่าผิดสัจจะที่ให้ไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากฝืนเอาออกมาด้วยความโลภแล้วย่อมจะเกิดภัยพิบัติกับตัวเองได้

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า การเรียกเหล็กไหลนั้นแท้ที่จริงคือ การขอชมบารมีของเหล็กไหลเท่านั้น ต่างจากการตัดเหล็กไหลซึ่ง เป็นการบังคับเอาเหล็กไหลด้วยการใช้วิชาอาคมและพลังจิตที่ เหนือกว่าเจ้าป่าเจ้าเขาที่รักษาเหล็กไหล การเรียกเหล็กไหลนั้นเป็น การอัญเชิญเหล็กไหลด้วยความอ่อนน้อมโดยอาศัยการกำหนดจิตเป็นสำคัญเพื่อขอชมบารมีของเหล็กไหลที่อยู่ภายในถ้ำจากเจ้าป่าเจ้าเขา ส่วนการเชิญเหล็กไหลให้เสด็จมาหาตนนั้น ท่านให้หาฝักขี้ผึ้งอย่างดีทีทำด้วยรังผึ้งขวางตะวันที่ร้างโดยธรรมชาติ และวางฝักขี้ผึ้งนั้นไว้บนพานครูที่ประกอบไปด้วยเทียนขาว 9 เล่ม ธูป 9 ดอก น้ำผึ้ง 1 ถ้วย ข้าวตอกดอกไม้ จากนั้นให้นำพานดังกล่าว ไปบูชาไว้บนหิ้งพระแล้วสวดพระคาถาอัญเชิญเหล็กไหลเป็นประจำ ประกอบกับการกำหนดจิตให้เป็นสมาธิแล้วแผ่เมตตาพร้อมทั้ง อุทิศล่วนกุศลให้กับเทพยดาที่รักษาเหล็กไหล หากจิตเราไปตรงกับ เทพยดาองค์ใดพร้อมด้วยกุศลอันเพาะบ่มดีแล้วก็จะทำให้เหล็กไหล เสด็จมาหาเราได้จริง ๆ ซึ่งก็เป็นการเรียกหรือการอัญเชิญเหล็กไหลอีกวิธีหนึ่ง

ในสมัยที่หลวงพ่อสดวัดปากน้ำท่านยังอยู่นั้นนับว่าท่านเป็น ผู้ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องธาตุกายสิทธิ์มากที่สุดในยุคนั้น ท่านมัก เจริญฌานเต็มกำลังแล้วอธิษฐานเรียกธาตุกายสิทธิ์ชนิดต่างๆ มารวมกัน กล่าวกันว่าในสมัยนั้นมีธาตุกายสิทธิ์หลายชนิดมาหา ท่านในลักษณะที่เป็นดวงไฟลอยลงมาขณะที่ท่านกำลังบำเพ็ญภาวนา มีทั้งพระธาตุ มีทั้งดวงแก้ว มีทั้งคด แต่จะมีเหล็กไหลด้วยหรือไม่นั้น มิอาจทราบได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่สามารถยืนยันได้ว่าการบำเพ็ญภาวนา นั้นสามารถทำให้ธาตุกายสิทธิเสด็จมาหาเราได้จริง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ ความศรัทธาและความเชื่อมั่นของผู้ที่ภาวนาด้วย

วิธีการหาเหล็กไหล

วิธีการหาเหล็กไหล

การที่จะรู้ได้ว่าสถานที่แห่งใด ถ้ำหรือภูเขาใดเป็นสถานที่ ที่มีธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลอยู่นั้น นอกจากจะสามารถสังเกตได้ จากลักษณะของถ้ำตามที่ได้กล่าวถึงในข้างต้นไปแล้วนั้น ยังมีข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือถ้ำที่มีเหล็กไหลอยู่นั้นจะพบว่ามี ขุยดินหรือขุยเหล็กอันเกิดจากการเคลื่อนตัวของเหล็กไหลตก อยู่ตามบริเวณพื้นถ้ำโดยรอบ ขุยดินหรือขุยเหล็กที่ว่านี้จะมี ลักษณะเป็นเม็ดกลมมนสีดำๆ มีเนื้อคล้ายโลหะหรือมีลักษณะ เป็นขุยผงสีดำๆ ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ขี้ดิบเหล็กไหล" ซึ่งขี้ดิบเหล็กไหลยังถือว่าเป็นของขลังอีกอย่างหนึ่งด้วย

หากขี้ดิบเหล็กไหลยังอยู่ในสภาพใหม่ๆ แสดงว่าตัวเหล็กไหล ยังคงอยู่ในบริเวณนั้น แต่ถ้าสังเกตเห็นขี้ดิบเหล็กไหลมีลักษณะเก่า แสดงว่าบริเวณนั้นเคยมีเหล็กไหลมาอาศัยหลบซ่อนตัวอยู่แต่ว่า ได้ย้ายจากไปแล้ว อย่าได้เสียเวลาเฝ้าสังเกตขี้ดิบเหล็กไหลเก่า เพราะเหล็กไหลน้ำหนึ่ง(ประเภทเหล็กไหลปีกแมลงทับ) เมื่อย้ายที่อยู่แล้วจะไม่ย้อนกลับมาอยู่ในสถานที่เดิมอีก

ขี้ดิบเหล็กไหลที่กองอยู่บริเวณพื้นถ้ำนั้นสันนิษฐานได้ว่าเกิด ขึ้นจากการเคลื่อนตัวของเหล็กไหลขณะที่เข้า-ออกจากรัง แล้ว รังสีจากเหล็กไหลไปทำปฏิกิริยากับหินในบริเวณนั้นจนเกิดเป็นขุย เหล็กไหลหรือขี้เหล็กไหลร่วงลงมาแล้วทับถมกันเป็นเวลานาน. ดังนั้นบริเวณที่พบกองขี้ดิบเหล็กไหลตกอยู่จึงค่อนข้างมีโอกาส ที่จะพบว่ามีเหล็กไหลอยู่

ในการจะหาเหล็กไหลชั้นดีหรือเหล็กไหลประเภทน้ำหนึ่ง ได้จะต้องสังเกตขี้ดิบเหล็กไหลให้เป็นเสียก่อน โดยต้องสามารถ แยกให้ออกว่าเป็นขี้ดิบของเหล็กไหลประเภทไหน และเป็นขี้ดิบ เหล็กไหลใหม่หรือเก่า เพราะถ้าเป็นขี้ดิบเหล็กไหลเก่าแล้วหากทำ พิธีเรียกไปก็เสียเวลาเปล่า เนื่องจากตัวเหล็กไหลย่อมไม่ได้อยู่ใน บริเวณนั้นแล้ว ในการเรียกเหล็กไหลจึงต้องสังเกตขี้ดิบเหล็กไหล ให้เป็นเสียก่อน โดยเลือกเอาเฉพาะขี้ดิบเหล็กไหลที่ยังใหม่อยู่ และจะต้องเป็นขี้ดิบเหล็กไหลประเภทน้ำหนึ่งเท่านั้น

การหาเหล็กไหลอีกวิธีหนึ่งสามารถทำได้โดยการสังเกตว่า ในวันที่พระจันทร์เต็มดวงหรือคืนวันเพ็ญจะมีเหล็กไหลบางชนิดออกมาจากรังเพื่ออาบแสงจันทร์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักเป็นบริเวณที่ราบ เชิงเขาที่มีลำธารไหลผ่านและบริเวณนั้นจะต้องมีลักษณะเป็นหินกรวดก้อนเล็กๆ คล้ายเม็ดทราย เมื่อดวงจันทร์เดินทางเข้าใกล้โลก มากที่สุดแร่เหล็กไหลจะผุดตัวเองขึ้นมาเล่นแสงจันทร์เหมือนหอยหลอดที่ผุดขึ้นมาจากพื้นทราย และเหล็กไหลที่มีอานุภาพมาก ๆ จะเปล่งแสงเป็นดวงไฟออกมาเล่นกับแสงจันทร์ ดังนั้นในบริเวณที่มีแสงดังกล่าวจึงอาจจะพบรังเหล็กไหลอันเป็นเหล็กไหลชั้นรองได้ นักเล่นแร่แปรธาตุในสมัยโบราณมักนิยมหาเหล็กไหลตามธรรมชาติ กันด้วยวิธีการนี้ เพราะไม่ต้องมีพิธีกรรมให้ยุ่งยาก เพียงแค่เฝ้า คอยสังเกตให้ถูกที่และถูกเวลาเท่านั้นก็จะสามารถได้ธาตุกายสิทธิ์ เหล็กไหลมาแต่โดยง่าย

ผู้ที่มีวิชาและรู้เคล็ดลับของธรรมชาติจึงมักจะไปคอยดักเก็บ เหล็กไหลประเภทนี้ ในต่างประเทศก็มีปรากฏการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น ในหลายแห่งทั่วโลก ดังที่ได้เคยแพร่ภาพในสารคดีของต่างประเทศ ที่ช่างภาพได้ไปเฝ้าบันทึกภาพแร่เหล็กไหลผุดขึ้นจากดินในคืนวัน พระจันทร์เต็มดวงเช่นกัน แต่ปรากฏว่านักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวถึง ปรากฏการณ์ในลักษณะนี้ว่าเกิดจากอำนาจแรงดึงดูดของดวงจันทร์ ที่มีผลต่อโลกจึงส่งแรงดึงดูดนั้นไปยังแร่ธาตุบางชนิดที่ฝังตัวอยู่ใต้ ผิวดินและเป็นผลให้แร่ใต้ดินผุดตัวขึ้นมาบนดินได้

ผู้ที่รู้แหล่งของแร่เหล็กไหลประเภทนี้มักไปดักรอเก็บ เหล็กไหลที่ผุดตัวขึ้นมาจากดิน ว่ากันว่าเหล็กไหลประเภทนี้ มีอานุภาพพอสมควร ถึงแม้จะไม่ใช่เหล็กไหลประเภทน้ำหนึ่ง ที่หายากที่สุด แต่ก็จัดได้ว่าเป็นสายพันธุ์ของเหล็กไหลอันเป็น วัตถุธาตุที่ทรงพลังมากที่สุดในโลกธาตุ เพราะการที่เหล็กไหลได้ผุดตัวขึ้นมาเองนี้ก็ถึอได้ว่าเป็นการแสดงอานุภาพอันน่าอัศจรรย์ จนอาจกล่าวได้ว่าเหล็กไหลที่ผุดตัวขึ้นมาจากพื้นดินเมื่อได้กระทบกับแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญย่อมถือเป็นวัตถุธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่ง

พระคาถาอัญเชิญเหล็กไหล

พระคาถาอัญเชิญเหล็กไหล

เมื่อตัดเหล็กไหลได้แล้วก็ต้องใช้คาถาอันเชิญธาตุกายสิทธิ์มาอยู่ด้วยเพื่อความเป็น ศิริมงคลพระคาถาอันเชิญเหล็กไหลไว้บูชามีดังนี้

พุทโธเมนาโถ ธัมโมเมนาโถ สังโฆเมนาโถ


สะกะพะจะ ปูชาจะ บูชาท่านผู้ดูแลรักษา ธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงฤทธิ์อานุภาพ


อิสะวาสุ อิติปิโส ภะคะวา


เหล็กไหลเจริญมา เจริญยิ่ง เจริญดี สิ่งดี ๆ ทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาหาข้าพเจ้า


สัมมะ สัมมา สัมมา สัมมะ มะอะอุ


นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ

พระคาถาอาคมต่างๆ ที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือนี้ยังไม่เคยปรากฏการตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน นับเป็นโชคดีของท่านผู้สนใจเพราะหาผู้รู้เรื่องเหล่านี้ยาก ไม่มีตำราจะให้ศึกษา เพราะคนโบราณจะหวงวิชา จะให้วิชาที่ตนรู้ ทำได้ ตายไปพร้อมกับตนเองเว้นแต่จะถ่ายทอดให้ลูกหลานเท่านั้น คนไหนเกเรก็ไม่ได้อีกเช่นกัน บางครั้งก็ถ่ายทอดให้ไม่หมด เพราะกลัวศิษย์คิดล้างครูก็มีเหมือนกัน

เทพเทวาเป็นผู้มอบให้

เหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากการอธิษฐานจิต ของผู้ที่มีคุณธรรม ที่มีความประสงค์จะขอบารมีจากเหล็กไหล เพื่อประโยชน์ในการทำนุบำรุงพระศาสนา โดยมิได้ใช้เวทมนต์วิชาการต่าง ๆ ไปบีบคับหรือแย่งชิงเอา แต่อาศัยบุญบารมีที่ตนเองได้เคยบำเพ็ญมาแต่ครั้งอดีตชาติ และเคยเป็นเจ้าของสิ่งนี้มาก่อน

เมื่อถึงเวลาเหล่าเทพเทวา นาคนาคา คนธรรพ์ ยักษ์ ผู้ดูแลรักษาสิ่งเหล่านี้ จะนิมิตบอกให้รู้ เพื่อให้มารับเอาของสิ่งนี้ซึ่งเป็นของคู่บารมีไปรักษา เพราะผู้มีบารมีในที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ รักษาศีลหรือปฏิบัติมาก่อน จึงมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอดีตตนเองได้ค่อนข้างมาก จึงสามารถเป็นเจ้าของเหล็กไหลนี้ ซึ่งจะเป็นการพบโดยบังเอิญหรือได้มาด้วยความศรัทธาจากการบูชาหรือจะด้วยแรงอธิษฐาน หรือนิมิตบอกก็ตาม

แผ่บารมีทิ้งไว้เมื่อถึงเวลาจุติ

เหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากเทพพรหมเทวา ผู้รักษาเหล็กไหลได้บำเพ็ญบารมีธรรมจนเข้าสู่อริยมรรค หรือ พ้นจากวิบากกรรมบางอย่าง จะจุติในภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็จะทิ้งธาตุขันธ์หรือสิ่งที่เคยรักษาไว้อยู่ โดยการอธิษฐานจิตทิ้งเอาไว้ในถ้ำหรือสถานที่ลึกลับ ให้เทพเทวาหรือยักษ์ คนธรรพ์คอยเฝ้ารักษา จนกว่าจะพบผู้ที่มีบารมีธรรมพอจะรักษาสิ่งเหล่านี้ให้ ก็จะมอบให้โดยวิธีใดวิธี หนึ่งดังนี้

1.เหล็กไหล ที่เคยไหลผ่านไปมาตามซอกถ้ำซอกผา มีลักษณะเป็นแผ่น ๆ เป็นปื้น เป็นก้อนขนาดต่าง ๆ ฝังตัวอยู่ตามซอกหินในถ้ำที่ลี้ลับ รอเวลาผู้มีวาสนาเอาไปทำประโยชน์ เหล็กไหลประเภทนี้จะไม่ไหลย้อยเคลื่อนที่ไปไหนอีก แต่จะถูกพรางตาจากบุคคลผู้ไร้วาสนา หากผู้มีวาสนาได้พบเห็นและทำพิธีให้ถูกต้อง ก็จะมีฤทธิ์อำนาจเป็นเหล็กไหลชั้น 1 ได้เหมือนกัน

2.องค์เหล็กไหล สำหรับผู้มีบารมีที่เข้าไปบำเพ็ญฌาณตามป่าเขาหรือถ้ำลึกลับ เทพผู้รักษาจะมอบให้ ถ้าต้องการ

ที่อยู่เหล็กไหล

ที่อยู่ของเหล็กไหล 
ที่อยู่เหล็กไหล
ที่อยู่เหล็กไหล
เหล็กไหลแท้ๆจะมีเนื้อธาตุที่มีลักษณะคล้ายกับเนื้อหินอุลกมณีหรือสะเก็ดดาว ถ้าเป็นเหล็กไหลชั้นยอดเนื้อจะมีความใส คล้ายแก้ว แต่มีความเข้มข้นสูงมากจนแสงไม่อาจส่องผ่านทะลุได้ บางท่านจึงมักเรียกเหล็กไหลว่า "หินไหล" แต่กระนั้นเหล็กไหล ก็มีหลายชนิดหลายระดับ บ้างก็มีเนื้อคล้ายโลหะธาตุ บ้างก็มีลักษณะ เป็นแร่เหล็กอย่างหนึ่ง บางชนิดก็มีกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ภายในตัว ซึ่งคุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นที่มาของคำว่า "เหล็กไหล" ทั้งสิ้น และนอกจากนี้ด้วยความแข็งของเนื้อธาตุที่แข็งเปรียบได้กับเหล็ก แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถกลับเนื้อตัวให้อ่อนนุ่มลื่นไหลได้ ราวกับของเหลวจึงเรียกธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ว่า "เหล็กไหล"

แร่เหล็กไหลนั้นเป็นแร่ชนิดพิเศษที่ไม่ปรากฏพบธาตุนี้อยู่ บนโลกของเรา จากผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์พบว่าแร่ เหล็กไหลมีลักษณะทางกายภาพคล้ายกับสะเก็ดดาวตก ซึ่งเป็นวัตถุธาตุที่เดินทางมาจากนอกโลกอีกทั้งแร่เหล็กไหลก็ไม่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มของโลหะและอโลหะได้ และนอกจากนี้ยังพบว่าแร่เหล็กไหลนั้นมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าธาตุใดๆในโลก โดยที่ไม่มีธาตุชนิดใดสามารถมาเปรียบเทียบได้ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า "เหล็กไหล" คือธาตุกายสิทธิ์ที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนธาตุใดๆในโลก เหล็กไหลมีหลายชนิดและหลายรูปพรรณสัณฐานแต่เหล็กไหล ชนิดที่ดีที่สุดนั้นจะมีรูปร่างคล้ายแท่งแก้วแต่มีลักษณะเรียวมนมีสีดำอมเขียวปีกแมลงทับ และมีคุณสมบัติคือสามารถทำตัวเอง ให้แข็งและสามารถกลับตัวเองให้อ่อนนุ่มได้ สามารถเสพพลังจากน้ำผึ้งด้วยการดึงส่วนที่เป็นพลังของกลิ่น สี และรสของน้ำผึ้งจนทำให้น้ำผึ้งที่ผ่านการเสพของเหล็กไหลมีคุณสมบัติที่เปลี่ยนไปทั้งสี กลิ่นและรส นอกจากนั้นแร่เหล็กไหลยังมีกระแสไฟฟ้าชนิดเดียวกันกับกระแสไฟฟ้าที่เกิดจากคลื่นสมองของมนุษย์ขณะที่กำลังอยู่ในสมาธิจิตอันเป็นกระแสไฟฟ้าอย่างละเอียดวังวนไปมาอยู่โดยรอบเหล็กไหล

ราวกับว่าเหล็กไหลมีพลังอำนาจจิตที่สามารถสื่อสารติด ต่อทางจิตกับมนุษย์ได้ธรรมชาติของเหล็กไหลโดยทั่วไปมักชอบอยู่ตามถ้ำที่มี ความเย็นและมีความชื้นสูง บางครั้งเป็นถ้ำที่ไม่มีทางเข้าออกหรือที่เรียกถ้ำในลักษณะนี้ว่า "ถํ้าไข่ในหิน" คือเป็นถ้ำที่อาจจะเกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลก ทำให้กลายเป็นโพรงขนาดใหญ่อยู่ใจ กลางภูเขา โดยทั่วไปถ้ำในลักษณะนี้จะถูกค้นพบได้ด้วยความบังเอิญเท่านั้น เช่น เกิดเหตุแผ่นดินไหวหรือจากการระเบิดภูเขาแล้วไปพบช่องทางเข้าถ้ำโดยบังเอิญ หรือบางครั้งก็เป็นถ้ำใต้ดินที่มีโพรงลึกลงไปเป็นกิโล ถ้ำอันเป็นที่อาศัยของเหล็กไหลจะมีลักษณะพิเศษ คือมักจะมีหมอกลงปกคลุมตลอดเวลาลักษณะของหมอกทีลงปกคลุมถ้ำนั้นจะเป็นหมอกที่หนาทึบและอยูเรี่ยพื้นดินหรือที่ เรียกกันว่า "หมอกหนัก"บางสถานที่จะได้ยินเสียงครางเหมือนฟ้าร้อง เป็นระยะๆ หรือเมื่อเข้าไปในถ้ำจะได้ยินเสียงคราง"ฮึ่มๆ"อย่าง เช่น ถ้ำเหล็กไหลที่เขาอึมครึมอันเป็นถ้ำเหล็กไหลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่ปรากฏว่ามีเสียงฟ้าคำรามรอบ ๆ เขาอยู่ตลอดเวลา ความแปลกอีกอย่างคือเหล็กไหลจะดูดพลังงานไฟฟ้าทุกชนิดไม่ว่า จะเป็นไฟฉาย โทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ก็ตาม ดังนั้น การจะเข้าไปในถาที่มีเหล็กไหลจึงใช้ได้เฉพาะแสงไฟจากเปลวเทียน หรือคบเพลิงเท่านั้น


เขาเหล็กไหลสิ่งที่น่าสังเกตเกี่ยวกับธรรมชาติของเหล็กไหลคือบริเวณ ก้อนหินที่เหล็กไหลอาศัยอยู่นั้นมักมีลักษณะที่แตกต่างไปจากหิน ทั่วไป ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดจากรังสีของเหล็กไหลที่ทำปฏิกิริยากับหิน ก้อนดังกล่าว เป็นผลให้โขดหินหรือก้อนหินที่เหล็กไหลเกาะอยู่เป็น เวลานานนั้นมีลักษณะบูดเบี้ยวคล้ายดั่งกล้ามเนื้อหรือแปรสภาพ ไปเป็นรังเหล็กไหลในที่สุดธรรมชาติของเหล็กไหลอีกประการหนึ่งทีน่าสนใจคือ บริเวณใดก็ตามที่มีเหล็กไหลช่อนตัวอยู่จะไม่มีผู้ใดสามารถฆ่าลัตว์ ตัดชีวิตในบริเวณนั้นได้เลย เช่น ถ้าพรานป่าเอาปืนไปยิงเก้ง กวาง ในระยะรัศมีทีมีเหล็กไหลอาศัยอยู่ จะปรากฏว่าปืนจะยิงไม่ออก เป็นมหาอุดหยุดกระสุนอย่างเหลือเชื่อ หรือแม้ว่าพรานป่าจะใช้ธนู ลูกธนูก็จะหักหรือสายธนูขาดจนเป็นที่น่าอัศจรรย์ ดังนั้นจึงเห็นได้ ว่าธรรมชาติของเหล็กไหลนั้นเป็นสิ่งที่รักสงบและไม่ชอบการฆ่าฟัน

ผู้ที่พบเห็นเหล็กไหลหรือรู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของเหล็กไหลได้จึงมักเป็นผู้ที่ได้เข้าไปปฎิบัติสมาธิภาวนาอยู่ในป่าลึกหรือตามถ้ำที่อยู่ห่างไกลผู้คนเหล็กไหลเป็นธาตุที่มีพลังอันเร้นลับอยู่ภายใน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งพลังอำนาจแห่งจิตที่สามารถหยั่งรู้ความคิดของมนุษย์เราได้ ดังนั้นผู้ที่สามารถครอบครองธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลได้จึงต้องเป็น ผู้ที่มีความสามารถในการติดต่อสื่อสารทางจิต หรือเป็นผู้ที่มีพลังจิต พลังสมาธิที่แก่กล้า นอกจากเหล็กไหลจะสามารถรับความคิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นสัตว์ว่ามีความคิดอย่างไรกับตนแล้ว เหล็กไหลยังสามารถแสดงพลังตอบโต้ความคิดเหล่านั้นได้ด้วยการสร้างภาพนิมิตหรือสร้างภาพลวงตาให้เห็นเป็นสิ่งต่างๆ ได้ตามที่ตนต้องการอีกด้วย

นอกจากนี้เหล็กไหลยังมีพลังงานที่มีรังสีอันมีคุณสมบัติ ที่แปลกออกไปจากคลื่นพลังงานทั่วไปคือสามารถเป็นได้ทั้งคลื่น พลังงานในด้านทำลายล้างและยังสามารถเป็นคลื่นพลังงานที่ช่วย ในการรักษาเยียวยาได้อีกด้วย ความน่าอัศจรรย์ของเหล็กไหล ยังมีอีกมากมาย แต่จากที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ก็คงพอทำ ให้มองเห็นภาพของธรรมชาติความเป็นเหล็กไหลแร่กายสิทธิ์ ได้พอสมควร

ธรรมชาติของเหล็กไหล

ธรรมชาติของเหล็กไหล

ถ้ำเหล็กไหล
ถ้ำเหล็กไหล
ในบรรดาวัตถุธาตุที่มีปรากฏอยู่บนโลกนั้นเหล็กไหลคือธาตุ กายสิทธิ์อย่างหนึ่งที่มีพลังอำนาจแห่งความเร้นลับอยู่ภายในตัว แต่วิทยาการของโลกก็ยังไม่,อาจหาคำตอบที่แน่ชัดได้ว่าเหล็กไหลคือวัตถุ ธาตุหรือแร่ธาตุชนิดใดกันแน่ ธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้จึงถูกเรียกชื่อแตกต่างกันออกไปตามแต่สถานที่ที่พบบนโลกบางแห่งเรียกธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ว่าหินพระธาตุ บางแห่งก็เรียกว่าเป็นหินดำอันศักสิทธิ์ สำหรับในประเทศไทยของเรานั้นเรียกธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ว่า "เหล็กไหล"

เหล็กไหลตามธรรมชาติจะมีลักษณะเป็นหินสีดำที่มี ความมันวาวคล้ายกับโลหะและสามารถเปลี่ยนสีของตนเองได้ บางครั้งก็มีสีสันคล้ายกับสีของปีกแมลงทับซึ่งมีสีสันสวยงาม และเป็นสีสันที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่มนุษย็ใม่อาจไปลอกเลียนแบบได้ จนหลายคนสงสัยว่าแมลงทับไปลอกเลียนสีของเหล็กไหลหรือเหล็กไหเลไปลอกเลียนลีจากปีกของแมลงทับกันแน่ ด้วยสีสันอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเหล็กไหลจึงเป็นที่ต้องตาของผู้พบเห็นและเกิดความอยากได้ธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ไว้ใน ครอบครอง นอกจากนั้นเหล็กไหลยังสามารถยืดหดตัวเองให้สั้นหรือยาว ออกได้ตามต้องการ เหล็กไหลทุกประเภทนั้นชอบอาศัยอยู่ในถ้ำหิน ที่อยู่ห่างไกลผู้คน ชอบอากาศที่มีความชื้นและเย็น โดยเฉพาะถ้ำที่ ปกคลุมไปด้วยหมอกอีกทั้งเหล็กไหลยังสามารถเคลื่อนที่หลบหนี อันตรายได้ราวกับเป็นสิ่งที่มีชีวิตจนหลายคนเชื่อว่าเหล็กไหลนั้น น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตทีเดินทางมาจากนอกโลก ธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ จึงอยู่เหนือกฏธรรมชาติของโลก

เหล็กไหลกับพลังอำนาจอันเร้นลับ

เหล็กไหลกับพลังอำนาจอันเร้นลับ
เหล็กไหลกับพลังอำนาจอันเร้นลับ
เหล็กไหลกับพลังอำนาจอันเร้นลับ
อำนาจของเหล็กไหลที่ขึ้นชื่อที่สุดคืออำนาจแห่งการคุ้มครองภยันตรายจากปืนผาหน้าไม้ทุกชนิด รวมทั้งของมีคมทั้งปวง และสรรพภยันอันตรายทั้งหลายที่พึงบังเกิดขึ้นจากดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งอานุภาพแห่งเหล็กไหลยังสามารถรักษาความเจ็บป่วยในคนและสัตว์ต่างๆได้อีกด้วยผู้คนหลายยุคหลายสมัยที่พยายามแสวงหาเหล็กไหลนั้น ต่างก็หวังพึ่งพลังอำนาจในการคุ้มครองชีวิตของตนเองเป็นหสัก I ตามธรรมชาติของเหล็กไหลจะส่งกระแสพลังงานอันลี้สับแผ่ออกไปเป็นบริเวณกว้างเพื่อให้ความคุ้มครองตัวเหล็กไหลเอง ซึ่งกระแสนี้ได้ครอบคลุมไปทั่วบริเวณเป็นผลให้สัตว์ป่ารอดพ้นจาก อำนาจปืนผาหน้าไม้ของมนุษย์และจากไฟป่าตามธรรมชาติ

เราจึงมักได้ยินเรื่องเล่าที่ว่าเวลานายพรานเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์ แต่เมื่อไปถึงบริเวณที่มีกายสิทธิ์เหล็กไหลแฝงตัวอยู่ เช่น บริเวณปากถ้ำ

หรือเงื้อมผาเมื่อนายพรานยกปืนขึ้นเล็งสัตว์ป่าแถบนั้นมักปรากฏว่าปืน ยิงไม่ออกบ้าง กระสุนด้านบ้าง หรือบางครั้งอาจมีอาถรรพณ์ถึงขั้น กระบอกปีนร้าวหรือแตกขึ้นมาได้

ความอัศจรรย์ของอานุภาพแห่งเหล็กไหลนั้น แม้จะเป็นเพียงน้ำที่ไหลผ่านองค์เหล็กไหลก็ยังมีความศักดิ์สิทธิ์มีอานุภาพในทาง คงกระพัน แคล้วคลาด ดังเช่นน้ำในลำธารหรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่ไหลผ่านตัวเหล็กไหลหรือรังเหล็กไหลไม่ว่าจะเป็นเหล็กไหล ชนิดที่ดีที่สุดหรือชนิดรองๆลงไปก็ตามยังส่งผลให้น้ำที่ไหลผ่าน แร่เหล็กไหลนั้นกลายเป็นน้ำวิเศษที่สัตว์ตัวใดก็ตามหากได้ดื่มกินน้ำนั้นเข้าไปจะบังเกิดอำนาจความคงกระพันขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ นอกจากนั้นยังสามารถรักษาบาดแผลหรือความเจ็บไข้ได้ป่วยให้แก่ สัตว์ป่าตัวนั้นได้ด้วย

ไม่เพียงเท่านั้นแม้ผู้ที่สวมเหล็กไหลไม่ว่าจะเป็นเหล็กไหล น้ำหนึ่ง รังเหล็กไหล และโคตรเหล็กไหล อันเป็นเหล็กไหลชั้นรองๆ ลงไปก็ตาม แต่หากได้ส่วมใส่คล้องเหล็กไหลไว้กับตัวแล้วออกไปล่าสัตว์ ยิงนกตกปลาก็จะเกิดอาถรรพณ์ให้ไม่อาจทำสำเร็จได้เลย ดังมีเรื่องเล่าว่านายพรานบางคนได้คล้องรังเหล็กไหลออกไปล่าสัตว์ปรากฏ ว่าทุกครั้งที่ยกปืนขึ้นประทับเพื่อเตรียมยิงดีแล้วแต่เมื่อกดนก สับลงไป ปีนกลับไม่ลั่นดังแซะๆทุกครั้ง และจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่พกเอาองค์เหล็กไหลไปด้วย แต่ถ้าครั้งไหนที่ลืมไม่ได้เอาองค์เหล็กไหลไป ปรากฏว่าปีนก็จะลั่นเป็นปกติทุกครั้ง แสดงให้เห็นว่าเหล็กไหลไม่ต้องการให้ผู้ที่พกพาตัวเองไปนั้นทำผิดสืลข้อปาณาติบาตหรือการเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นนั่นเอง

ในบรรดาอานุภาพของเหล็กไหลทั้งปวงนี้ ครูบาอาจารย์กล่าวว่าล้วนเป็นอานุภาพแห่งการห้ามปาณาติบาตทั้งสิ้น ท่านว่าเหล็กไหล เป็นของกายสิทธิ์ที่มีชีวิตและจิตวิญญาณจึงสามารถรับรู้กระแสความคิดของผู้ที่ดูแลและเป็นเจ้าของได้ตัวเหล็กไหลเองมีอำนาจในการห้ามปาณาติบาต ซึ่งเป็นอำนาจที่เขามีไว้เพื่อป้องกันตัวเขาเองอันเป็นผล ให้ผู้ที่สวมใล่ก็พลอยได้รับอานิสงส์ข้อนี้ไปด้วย ดังนั้นเจ้าของหรือ ผู้ที่พกพาเหล็กไหลจึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปทำผิดเรื่องปาณาติบาต เพราะตัวเองยังคล้องเหล็กไหลก็เพื่อป้องกันตัวจากการเบียดเบียนของบุคคลผู้อื่น ตัวเองยังรักตัวกลัวตายแต่กลับจะไปทำร้ายผู้อื่นเสียเองได้อย่างไรกัน เหล็กไหลที่พกไปก็จะส่งกระแสห้ามไม่ให้บุคคลผู้นั้นผิด ศีลปาณาติบาต แต่หากบุคคลนั้นดื้อรั้นทั้งๆที่ตนเองมีธาตุกายสิทธิ์ เหล็กไหลอยู่กับตัวเหล็กไหลที่มีอยู่ก็อาจตักเตือนด้วยการทำให้ปีนลั่น ใส่หน้าหรือทำให้เกิดอุบัติเหตุให้ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวเสียเลือดกันบ้าง เพื่อเป็นการเตือนสติว่าเราเบียดเบียนเขา เราทำให้เขาเจ็บ แต่เมื่อเราไม่โดนเองก็ย่อมไม่รู้ หากเราได้รับรู้ถึงความเจ็บ ความทรมานจากอาวุธ จากคมกระสุน คมหอกคมดาบ รู้ว่าการต้องเสียเสือดเป็นเช่นไร เราก็จะมีสติขึ้นมาและหยุดการทำปาณาติบาตเช่นนั้นอีก และแย่ที่สุดคือเหล็กไหลอาจเสด็จหนีจากเราไปในที่สุดเพราะเราไม่มีคุณสมบัติ เพียงพอที่จะมีเหล็กไหลไว้กับตัว

อำนาจความคุ้มครองจากเหล็กไหลถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอด แห่งเครื่องรางของขลังจนเป็นที่ร่ำลือกันว่า เหล็กไหลนั้นมีอำนาจในการคุ้มครองเด็ดขาดที่สุด ผู้ใดก็ตามที่มีเหล็กไหลไว้ในครอบครอง และประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม คนผู้นั้นย่อมจะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขในชีวิตตราบนานเท่านาน และไม่มีวันตายโหงหรือประสบอุบัติเหตุอย่างแน่นอน

เนื่องจากเหล็กไหลเป็นของเย็น เป็นของสงบ และเป็นของพระฤาษีที่ภาวนาตามป่าตามเขาดังนั้นเหล็กไหลจึงไม่ชอบเรื่องที่วุ่นวายทางโลกไม่นิยมเรื่องการเสพกาม นิยมพรหมจรรย์และไม่ชอบอย่างยิ่ง การรังแกเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล็กไหลที่มีเทพ พรหมปกปักรักษามีญาณของพระฤาษีดูแลอยู่ภายในด้วยแล้ว จะไม่ ยอมให้มีการเบียดเบียนผู้อื่นด้วยกาย วาจา ใจเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่ได้รับ เหล็กไหลที่มีญาณของพระฤาษีหรือเทพพรหมที่ตั้งมั่นในศีลจึงต้อง หมั่นดูแลรักษาใจตนเองให้อยู่ในศีลสังวรให้ดี เพื่อให้มีคุณธรรมและมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรักษาเหล็กไหลไว้กับตัว มิเช่นนั้นเหล็กไหลๆจะเสด็จหายไปจากผู้นั้นและเหลือไว้เพียงความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเคยมีเหล็กไหลพกไว้กับตัว

เหล็กไหลกับวัตถุมงคลของไทย2

เหล็กไหลกับวัตถุมงคลของไทย

นอกจากนี้แร่ที่ชาวเหนือถือว่าเป็นเหล็กไหลและได้นำเอามาใช้เป็นมวลสารในการสร้างพระรอดลำพูนยังก็มีอีกหลายชนิดที่สำคัญคือ"เป็ก"หรือ"แร่ข้าวตอกพระร่วง"ซึ่งจัดเป็นแร่เหล็กไหล กายสิทธิ์อีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะรูปพรรณสัณฐานเป็นสี่เหลี่ยมสีแดงอมดำฝังตัวอยู่ในพื้นดิน แร่เหล่านี้คนโบราณได้นำเอามาบดจน ละเอียดและได้นำมาสร้างเป็นพระรอดลำพูนจนมีการกล่าวขานกันว่า"พระรอดพระเหล็ก"ทั้งนี้เพราะส่วนผสมส่วนใหญ่ของพระรอดนั้น มีเชื้อของแร่เหล็กไหลกายสิทธิ์ในตระกูลเหล็กไหลอยู่หลายชนิด ด้วยกัน แสดงให้เห็นว่าในยุคสมัยเมื่อพันกว่าปีมาแล้วผู้ทรงฌาน สมาบัติได้ให้ความสำคัญในเรื่องแร่กายสิทธิ์เหล็กไหลไม่น้อย เมื่อมี การสร้างพระเพื่อสืบพระศาสนาและเพื่อเป็นมิ่งขวัญกับบ้านเมืองก็ยัง ได้มีการเอาแร่สกุลเหล็กไหลชนิดต่างๆ มาเป็นส่วนผสมสำคัญ ซึ่งนอกจากการนำเอาเชื้อมวลสารเหล็กไหลมาสร้างเป็นพระรอดลำพูน

อันเลื่องชื่อแล้วยังได้นำเอามวลสารเหล็กไหลนี้มาสร้างเป็นพระ เครื่องอื่นๆ อีก เช่น พระเปิม พระคงและพระสกุลลำพูนอีกหลาย ชนิดด้วยกัน

นอกจากพระสกุลลำพูนแล้วพระเครื่องอย่างพระซุ้มกอ ก็มีส่วนผสมของแร่เหล็กไหลโดยเฉพาะแร่ดอกมะขามเช่นเดียวกัน กับพระรอดลำพูนรวมไปถึงพระผงสุพรรณและพระเครื่องที่จัดเป็น จักรพรรดิแห่งพระเครื่องทั้งปวงคือพระสมเด็จวัดระฆังก็ได้มีการ นำเอามวลสารที่เป็นเหล็กไหลมาเป็นส่วนผสมสำคัญในการสร้าง ด้วยเช่นกัน พระเครื่องในยุคพุทธศตวรรษที่12-16โดยมากมักเกิดจากการสร้างของฤาษีชีไพรททีทรงฌานสมาบัติแก่กล้าทรงความรู้ทางว่านยาและแร่ธาตุกายสิทธิ์จึงเน้นหนักในการนำเอามวลสารของธาตุทั้งปวง ในตระกูลเหล็กไหลมาผสมเป็นองค์พระ โดยนำธาตุกายสิทธิ์ที่หาได้ภายในท้องถิ่น เช่นข้าวตอกพระร่วง แร่เม็ดมะขาม โคตรเหล็กไหลทรหด โคตรเหล็กไหลงอก ฯลฯ มาเป็นส่วนผสมหลักๆ ในการสร้างพระรอด พระซุ้มกอ และพระนางพญา ซึ่งบางองค์ก็มีส่วนผสมของธาตุเหล็ก ที่เข้มข้นจนสามารถเอาแม่เหล็กมาดูดติดได้อย่างน่าอัศจรรย์

เรื่องมวลสารเหล็กไหลในพระสมเด็จนั้นเข้าใจว่าน่าจะได้มา จากหลวงตาจัน ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของสมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน เนื่องจากหลวงตาจันมักชอบออกธุดงค์และได้ของแปลกๆ กลับมา ทุกครั้ง หลวงตาจันผู้นี้แต่เดิมเป็นฆราวาสชอบเล่นฤทธิ์และติดจริต นิสัยทางไสยศาสตร์ ชอบปล่อยของลองภูมิพระธุดงค์จนกระทั่งตาจัน เข้าสู่วิถีญาณของสมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน สมเด็จฯท่านจึงมา โปรดและทำการประลองฤทธิ์ โดยตาจันได้เสกผ้าขาวม้าเป็นไก่ชน สมเด็จฯท่านก็เสกรัดประคดเป็นไก่ชนเช่นกัน แล้วเข้าไปจิกตีกัน อยู่อย่างนั้น ไม่นานนักไก่ของสมเด็จฯก็ชนะ จนมีการกล่าวขานกัน ในสมัยนั้นว่า“ไก่โลกียะหรือจะสูไก่โลกุตตระ" หลังจากนั้นตาจันจึงได้ มาศึกษากรรมฐานกับสมเด็จฯที่วัดพลับ จนกระทั่งเมื่อสมเด็จฯท่านสิ้นพระชนม์แล้ว ตาจันก็ออกบวชและภายหลังจึงได้สร้างพระเครื่องขึ้นมา ในการสร้างพระเครื่องของหลวงตาจันนั้น เนื่องจากหลวงตาจัน ทำผงพระพุทธคุณไม่เป็นเพราะไม่ได้รํ่าเรียนมา ดังนั้นหลวงตาจัน จึงมักไปขอผงพระพุทธคุณจากสมเด็จโตอยู่เสมอ

และหลวงตาจันก็มักเอาผงศักสิทธิ์ที่ท่านได้มาจากตามป่าตามเขานำไปมอบให้ท่านเจ้าคุณสมเด็จเรียกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนผงวิเศษซึ่งกันและกัน ผงวิเศษของหลวงตาจันนี้มีอยู่หลายอย่างด้วยกัน เช่น ผงพระธาตุ ผงขี้เหล็กไหลและโคตรเหล็กไหลเป็นต้น รวมทั้งผงว่านยาอีกหลาย ชนิดที่ได้นำมารวมกันเพื่อสร้างพระบรรจุในกรุ และยังกลายเป็น ล่วนหนึ่งของมวลสารพระสมเด็จวัดระฆังด้วย

หากลองส่องดูมวลสารของพระสมเด็จวัดระฆัง จะเห็นว่าบางส่วนนั้นมีผงสีดำขนาด เล็กเท่าปลายเข็มอยู่ มวลสารดังกล่าวนี้เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของมวลสารที่มีเชื้อเหล็กไหล มิหนำซ้ำบางครั้งมวลสารเหล่านี้ยังดูดติดแม่เหล็กอีกด้วย และอีกประการหนึ่งที่เชื่อได้ว่าพระสมเด็จวัดระฆัง มมวลสารของเหล็กไหลผสมอยู่ก็คือ จากตำราการสร้างพระเครื่อง วัดระฆังนั้นกล่าวไว้ว่า สมเด็จฯ ท่านใช้สูตรการสร้างพระมาจากการ สร้างพระซุ้มกอ ดังนั้นเมื่อองค์พระซุ้มกอยังมีแร่เหล็กไหล เช่น แร่ดอกมะขามและแร่เหล็กกายสิทธิ์อีกหลายชนิดอยู่ภายในเช่นนั้น แล้วพระสมเด็จอันเลื่องชื่อที่ถือว่าเป็นจักรพรรดิแห่งพระเครื่องใน เบญจภาคีก็ย่อมมีแร่เหล็กไหลเป็นส่วนหนึ่งของมวลสารเช่นกัน

พระเหล็กไหล พระเบญจภาคี
พระเครื่องในชุดเบญจภาคีทั้ง 5 องค์ล้วนมีส่วนผสมของแร่ กายสิทธิ์เหล็กไหลทั้งสิ้น แม้กระทั่งพระนางพญาก็มีมวลสารของแร่เหล็กกายสิทธิ์ด้วย เช่นเดียวกันกับพระรอดลำพูน พระซุ้มกอ พระผงสุพรรณ และพระสมเด็จวัดระฆัง ทั้งนี้เพราะมวลสารเหล็กไหล นั้นเป็นของดีที่มีอยู่ตามธรรมชาติอันสามารถเพิ่มพูนพลานุภาพ ภายในองค์พระให้ขลังมากยิ่งขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์อีกทั้งครูบาอาจารย์ ในสมัยโบราณท่านคงพิจารณาแล้วว่ามวลสารใดบ้างที่สมควรนำมา ใช้ประกอบการสร้างพระเครื่องเพื่อสืบพระพุทธศาสนาและเพื่อ ให้กุลบุตรกุลธิดาได้บูชาในภายภาคหน้าเพื่อความเป็นสวัสดิมงคล และปกป้องคุ้มครองร่างกายได้

หลายท่านอาจสงสัยว่า มวลสารเหล็กไหลที่ผสมลงไปใน พระเครื่องดีทางไหน? และเพราะเหตุใดจึงต้องนำเหล็กไหลมาใช้เป็น มวลสารสำคัญในการสร้างพระเครื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน?คำตอบ ก็คีอมวลสารเหล็กไหลอันเป็นมวลสารที่เป็นกายสิทธี้นั้น ดีเด่นที่สุด ในเรื่องของคงกระพัน สามารถป้องกันภยันตรายจากศาลตราวุธ

ของมีคม ปืน ระเบิดทั้งปวง รวมไปถึงสามารถป้องกันเขี้ยวงาได้สารพัดทั้งอสรพิษจะไม่กล้าขบกดผู้นั้นเลย นอกจากนี้เหล็กไหลยังมีคุณสมบัติ ตามธรรมชาติที่สามารถดูดซับพลังงานทางจิตได้เป็นอย่างดี จึงเป็นผลให้มวลสารที่มีเชื้อของเหล็กไหลสามารถเก็บพลังพระพุทธคุณหรืออำนาจจิตจากการปลุกเสกพระเครื่องของครูบาอาจารย์ได้เป็นอย่างดีและทำให้ทวีความขลังมากขึ้นไปอีก ซึ่งจากเหตุผลดังกล่าวนี้ จึงทำให้มวลสารเหล็กไหลเป็นมวลสารหนึ่งที่นิยมใช้ในการสร้างพระเครื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และอาจกล่าวได้ว่าพระเครื่องศักดิ์สิทธิ์ที่พบเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ย่อมมีมวลสารของเหล็กไหลฝังอยู่ ภายในพระเครื่องเป็นแน่แท้

เหล็กไหลกับวัตถุมงคลของไทย1

เหล็กไหลกับวัตถุมงคลของไทย
เมล็ดพระธาตุเหล็กไหล
เนื่องจากเหล็กไหลในธรรมชาติเป็นของกายสิทธิ์ที่หาได้ยากและมีจำนวนน้อย จึงไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้ที่แสวงหา และต้องการมีเหล็กไหลไว้เพื่อใช้คุ้มครองตัวอีกทั้งเหล็กไหลก็เป็นของที่คู่ควรกับผู้ที่มีบุญวาสนาเกี่ยวเนื่องกันเท่านั้น เป็นเหตุให้ครูบาอาจารย์คิดสร้างพระเครื่องหรือเครื่องรางต่างๆ ขึ้นมาเพื่อ ทดแทนของจริงตามธรรมชาติที่หาได้ยาก มีน้อยชิ้น และเป็นของ เฉพาะตัวเท่านั้น แต่ในการสร้างวัตถุมงคลก็ยังจำเป็นต้องพึ่งพา พลังจากธรรมชาติส่วนหนึ่ง ดังนั้นครูบาอาจารยํจึงต้องแสวงหาแร่ ตามธรรมชาติที่มีความใกล้เคียงกับเหล็กไหล เช่น เหล็กไหลลำดับชั้นรอง ๆลงไปอย่างแร่เม็ดมะขาม เป็นต้นหรือแม้แต่ขี้และโคตรเหล็กไหลก็ยังสามารถนำมาใช้ได้เพราะถือเป็นของตามธรรมชาติที่เป็นสื่อและเป็นเชื้อของพลังงานจากเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์

ตามกรรมวิธีการสร้างเครื่องรางของขลังแต่โบราณนั้นครูบาอาจารย์มักต้องหามวลสารที่มาจากธรรมชาติอันมีฤทธิ์ในตัวเช่น ผงว่านยา108 ผงเกสรดอกไม้ ผงพระธาตุ รวมไปถึงผงเหล็กไหลด้วย ทั้งนี้เนื่องจากอำนาจตามธรรมชาตินั้นถือเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าเรา จะทำการปลุกเสกนานนับร้อยนับพันปีก็ยากที่จะทัดเทียมกับอำนาจของธรรมชาติที่มีมาแต่เดิม ดังนั้นครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นผู้รู้และเป็น ผู้ที่คลุกคลีกับธรรมชาติจึงมักหามวลสารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มาใช้เป็นชนวนมวลสารในการสร้างพระเครื่องหรือเครื่องรางใด ๆ เพื่อแจกจ่ายแก่ศิษยานุศิษย์ เพราะว่ามวลสารจากธรรมชาติเหล่านี้ มีคุณสมบัติดีในตัวหลายอย่าง เช่น สามารถซึมซับพลังจิตของผู้ ที่ปลุกเสกได้เป็นอย่างดีอีกทั้งยังเป็นแหล่งสะสมพลังงานและสามารถแผ่พลังงานออกไปได้อย่างยอดเยี่ยม หนึ่งในมวลสารตามธรรมชาติที่ครูบาอาจารย์นิยมแสวงหามา ทำเครื่องรางของขลังอย่างพระเครื่องคือ"เหล็กไหล"โดยจะนำเอาส่วน ที่เป็นโคตรเหล็กไหล ขี้เหล็กไหล และขุยดินเหล็กไหลจากหน้าปากถ้ำ หรือโดยการสกัดเอาหินที่มีเหล็กไหลฝังตัวอยู่มาเป็นส่วนผสมในการ ทำเครื่องราง ทั้งนี้เนื่องจากตัวของเหล็กไหลมีรังสีที่มีอานุภาพ

ดังนั้นทุกครั้งที่เหล็กไหลผ่านเข้าออกรังพลานุภาพของรังสีจากองค์เหล็กไหลที่แผ่พลังงานออกจากตัวเองจึงส่งผลให้หินหรือดินที่ อยู่ในบริเวณนั้นได้รับกระแสพลังงานและมีการสะสมพลังงานนั้น ไว้ในตัว นานวันไปหินที่เหล็กไหลเกาะตัวอยู่จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงร่าง และมีสีสันของเนื้อหินที่แตกต่างไปจากเดิม

นอกจากนี้ยังมีเหล็กไหลหรือหินไหลตามธรรมชาติอีกหลาย ชนํดที่สามารถหาได้จากตามถ้ำและตามลำธารในป่าลึกโดยของเหล่านี้ ล้วนเป็นของกายสิทธิ์ตามธรรมชาติทั้งสิ้น เมื่อนำมาใช้เป็นส่วนผสม ของมวลสารในการสร้างเครื่องรางหรือพระเครื่องย่อมบังเกิดอานุภาพมากขึ้นเป็นพิเศษหลายเท่าตัว และมีพลังงานที่ล้ำลึกกว่าพระเครื่องหรือ เครื่องรางโดยทั่วไปที่ไม่ได้มีส่วนผสมของธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหล

ตัวอย่างของพระเครื่องที่มีเหล็กไหลเป็นมวลสารผสมอยู่นั้น มีให้เห็นอยู่อย่างมากมาย ตั้งแต่พระเครื่องที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 1,200 ปีอย่างพระรอดลำพูน ซึ่งสามารถลังเกตได้จากองค์พระที่แตกหัก ออกมาว่าในเนื้อขององค์พระนั้นมีแร่บางอย่างที่มีลักษณะสีดำ อมแดงฝังอยู่ในเนื้อ และจากการศึกษาค้นคว้าของท่านอาจารย์ อรรคเดชซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านพระสกุลลำพูนพบว่าแร่ที่นำมา ฝังในพระรอดลำพูนนั้นเราเรียกว่า"แร่ดอกมะขาม"หรือ"แร่เม็ดมะขาม"ซึ่งคนทางเหนือถือว่าเป็นเหล็กไหลชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ที่ดอยหินเหล็กไหลไฟ จังหวัดลำพูน แร่ชนิดนื้ถือว่ามีพลานุภาพทางด้านอยู่ยงคงกระพันเป็นหลัก

อ่านต่อ เหล็กไหลกับวัตถุมงคลของไทย ตอนที่2

การสร้างเหล็กไหล

การสร้างเหล็กไหล (การหุงเหล็กไหล)

นอกจากเหล็กไหลที่มีอยู่ตามธรรมชาติแล้วครูบาอาจารย์ผู้มีภูมิความรู้ท่านยังสามารถสร้างเหล็กไหลจำลองขึ้นมาโดยเลียนแบบมาจากธาตุตามธรรมชาติบนโลก ซึ่งเราเรียกการสร้างเหล็กไหลจำลองนี้ว่า "การหุงเหล็กไหลหรีอการเล่นแร่แปรธาตุ"(การที่ทำให้ธาตุอย่างหนึ่งแปรสภาพกลายเป็นธาตุชนิดใหม่ขึ้นมา)

ตามตำรากล่าวว่าหากการหุงเหล็กไหลทำสำเร็จในช่วงฟ้าสางจะได้เหล็กไหลที่มีสีเขียวปีกแมลงทับ แต่หากหุงสำเร็จในช่วงเช้าตรู่ ขณะพระอาทิตย์กำลังขึ้นเป็นดวงสืแดงก็จะได้เหล็กไหลที่มีสีแดงเพลิง หรือหากหุงสำเร็จในช่วงสายที่พระอาทิตย์ส่องแสงกล้าแล้วเหล็กไหล ที่ได้ก็จะมีสีขาวเงินยวง เป็นต้น เรื่องอิทธิพลจากแสงอาทิตย์ที่มี ต่อการหุงเหล็กไหลจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเช่นกันความลึกลับตาม ธรรมชาติของเหล็กไหลและความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพระอาทิตย์ และพระจันทรนั้นยังคงเป็นสิงที่น่าค้นคว้าต่อไปแต่เรื่องการหุงเหล็กไหลนี้เข้าใจว่าน่าจะมาจากการที่ครูบาอาจารย์ในสมัยก่อนได้เคยเห็น เหล็กไหลตามธรรมชาติมาแล้ว จากนั้นจึงทำการหุงผสมธาตุต่างๆ

ขึ้นมาเพื่อเลียนแบบเหล็กไหลในธรรมชาติ เท่ากับว่าเหล็กไหลที่ ปรากฏในโลกเรานี้ย่อมมีทั้งที่เกิดเองตามธรรมชาติและที่เกิดขึ้น จากการเล่นแร่แปรธาตุของมหาโยคีในยุคก่อนๆนั่นเอง

หลากหลายตำนานเกี่ยวกับธาตุกายสิทธิ์ในโลกได้กล่าวไว้ว่า ผู้ใดก็ตามที่ได้ครอบครองวัตถุธาตุกายสิทธิ์ ผู้นั้นย่อมสามารถบรรลุ ความปรารถนาทั้งปวงบนโลกธาตุนี้ได้ วัตถุธาตุบางอย่างที่มีพลัง อำนาจในตัวเองนั้นจะสามารถปกป้องคุ้มครองและเป็นเสน่ห์เมตตา แก่ผู้ครอบครองได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่ง,ในธรรมชาติก็มีวัตถุธาตุที่มี พลังอำนาจในตัวเองอยู่หลายชนิดด้วยกัน เช่นพวกคดจากพืชและลัตว์ เพชรหน้าทั่ง อัญมณีนพเก้า แก้วโป่งข่าม แต่ในบรรดาธาตุกายสิทธิ์ เหล่านั้นไม่มีสิงใดที่จะยิ่งใหญ่ทรงอานุภาพและเป็นตำนานที,เล่าขาน ไม่รู้จบเทียบได้กับธาตุกายสิทธิ์ที่มีชื่อว่า"เหล็กไหล"

บางตำนานกล่าวถึงการกำเนิดของเหล็กไหลว่าเกิดจาก อำนาจและวิชาของพระฤาษีที่ทรงฌานสูงสุดและเป็นผู้มีญาณหยั่งรู้ว่า ใต้พิภพนั้นมีแร่เหล็กที่ทรงอานุภาพมหัศจรรย์อยู่ และท่านฤาษีได้ใช้ กำลังฌานเรียกแร่เหล็กที่อยู่ใต้โลกเหล่านั้นมารวมตัวกันอยู่ตามถ้ำต่างๆ จนเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปคนในยุคต่อๆมาจึงได้ค้นพบแร่ มหัศจรรย์นี้ ซึ่งแร่ชนิดนี้สามารถทำตัวเองให้อ่อนนิ่มและยืดตัวเอง ไหลไปตามที่ต่างๆได้ และยังสามารถเคลื่อนทีผ่านทะลุแท่งหินตัน ๆ ได้คนโบราณจึงได้ขนานนามแร่พิเศษชนิดนี้ว่า"เหล็กไหล"อันหมายถึงธาตุเหล็กที่มีความมหัศจรรย์ในตัว สามารถทำตัวเอง ให้อ่อนนุ่ม และลื่นไหลไปมาได้

แต่นอกจากความเชื่อที่ว่าแร่เหล็กไหลนี้มาจากธาตุลี้ลับที่อยู่ ใต้พื้นพิภพแล้ว ยังมีอีกหนึ่งความเชื่อที่เกี่ยวกับกำเนิดเหล็กไหล บนโลกนั้นคือความเชื่อที่ว่าเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์เป็นธาตุชนิดพิเศษที่มาจากมิติอื่นเชื่อกันว่ามหาฤาษีในยุคก่อนๆ ได้เข้าฌานเพื่อทำการ ขอธาตุกายสิทธิ์โว้สำหรับปกป้องโลกให้พ้นจากภัยพิบัติ เมื่อพระเจ้าผู้สร้างโลก คือ พระศิวะ พระพรหมธาดา และพระนารายณ์ได้รับรู้ถึง แรงอธิษฐานจากกำลังฌานของพระฤาษี พระองค์จึงทรงประทานธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งมาให้ในลักษณะของก้อนอุกกาบาต แต่การมาของก้อนอุกกาบาตในครั้งนี้มิได้พุ่งเข้าชนโลกเหมือนอุกกาบาตโดยทั่วไป หากแต่เป็นการเดินทางโดยผ่านประตูแห่งมิติเวลาเข้ามายังโลก

การสร้างเหล็กไหล
การสร้างเหล็กไหล
เมื่อครั้งแรกที่ธาตุนี้มาถึงโลกมันยังคงเป็นของเหลวที่มี ลักษณะสีดำข้นสามารถลื่นไหลไปตามที่ต่างๆได้ ต่อมาธาตุเหล่านี้ ได้แยกย้ายตัวเองไปตามล่วนต่างๆของโลก ทั้งใต้ดิน ในถ้ำ และ ในน้ำที่ห่างไกลจากผู้คน เพื่อรอคอยเวลาจนกว่าจะมีผู้ที่มีพลังจิต มาค้นพบและนำเอาไปใช้ประโยชน์ในการช่วยโลกให้พ้นจากภัยพิบัติ ต่างๆเหล็กไหลในยุคแรกนั้นได้เคลื่อนตัวไปตามสถานที่ต่างๆ และ ได้สร้างรังสร้างอาณาจักรของตนเองจนเกิดเป็นสายแร่และเป็นแร่ เหล็กไหลตระกูลต่างๆ ขึ้นบนโลก ในที่สุดก็ได้กลายเป็นตำนานของ ธาตุกายสิทธิชนิดต่างๆ

นอกจากนี้ยังมีบางตำราได้กล่าวถึงต้นกำเนิดของเหล็กไหล ไว้ว่าเกิดขึ้นจากการเล่นแร่แปรธาตุของมหาฤาษีในยุคก่อนๆ ซึ่งพอ จะสรุปได้ว่าเหล็กไหลนั้นน่าจะมีในธรรมชาติมาแต่เดิม โดยเหล็กไหลอาจเป็นวัตถุธาตุชนิดพิเศษที่เดินทางมาจากนอกโลก หรือเดินทาง มาจากต่างมิติภพภูมิแล้วได้หลบซ่อนตัวอยู่ตามธรรมชาติ จวบจน เมื่อธาตุชนิดนี้ได้ถูกค้นพบและศึกษาค้นคว้าโดยมนุษย์ผู้มีภูมิปัญญา ต่อมาเหล่าพระมหาฤาษีที่ทรงฌานอันแก่กล้าจึงได้คิดสูตรรวมธาตุ เพื่อสร้างธาตุใหม่ที่มีความใกล้เคียงกับเหล็กไหลตามธรรมชาติขึ้น

เซึ่อได้ว่าพระฤาษีในยุคโบราณท่านคงสำเร็จวิชาการรวมธาตุและ การเล่นแร่แปรธาตุขั้นสูงสุดจนสามารถรวมธาตุที่ทรงฤทธิ์เหมือน เหล็กไหลชั้นยอด รวมถึงวิชาขั้นรองๆลงมาในการรวมธาตุ จึงเกิดเป็น เนื้อเมฆสิทธิ์และเมฆพัตร ซึ่งเนื้อธาตุเหล่านี้ก็มาจากตำนานของการ เล่นแร่แปรธาตุเหล็กไหลนี่เอง การที่โบราณจารย์ท่านพยายามผสม ธาตุเพื่อให้เกิดฤทธิ์อำนาจในตัวเองดุจเดียวกับเหล็กไหลที่มีอยู่ตามธรรมชาติ จึงทำให้บังเกิดเนื้อธาตุเหล่านื้ขึ้นมาและเป็นที่รู้จักกันดี ในวงการพระเครื่องปัจจุปัน

ตำนานเรื่องราวของเหล็กไหลนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจหาข้อสรุป ที่มีความแน่ชัดตายตัวลงได้เพราะในช่วงเวลาที่ล่วงเลยมานานกว่า แสนปีนั้น เหล็กไหลได้มีการพัฒนาตัวเองและปรับตัวเองไปตาม ธรรมชาติในแต่ละยุคที่เปลี่ยนไป อีกทั้งครูบาอาจารย์ผู้มีภูมิความรู้ เกี่ยว เนื่องกับ เหล็กไหลก็มีการพัฒนาวิชาการเล่นแร่แปรธาตุรวมทั้งสูตรวิชาบางอย่างที่เคยหายสาบสูญไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแปรและเป็น ปัจจัยให้เรื่องราวของเหล็กไหลซับซ้อนยิ่งขึ้นจนยากที่จะหาข้อสรุปลงได้ ในแต่ละตำนานต่างก็มีจุดยืนและเอกลักษณ์ของตนมีทั้งข้อดี และข้อเสียซึ่งอาจกล่าวได้ว่าไม่มีตำนานใดที่กล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ ธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ผิดหรือถูกต้องทั้งหมด

กำเนิดเหล็กไหล

กำเนิดเหล็กไหลบนโลก
กำเนิดเหล็กไหลบนโลก
กำเนิดเหล็กไหลบนโลก

ตามตำนานของธาตุกายสิทธิ์ได้กล่าวถึงเหล็กไหลไว้ว่า เหล็กไหลเป็นวัตถุธาตุที่มีแหล่งกำเนิดจากจักรวาล และเหล็กไหลได้เดินทางเข้ามายังโลกของเราเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว เหล็กไหลมีลักษณะเหมือนกับสะเก็ดดาวหรืออุลกมณีทีตกลงมายังโลกของเรา เหล็กไหลจึงมิใช่ธาตุบนโลกแต่เป็นวัตถุธาตุที่มาจากนอกโลก เหล็กไหลนั้นมีปรากฏอยู่ตามที่ต่างๆทั่วโลกโดยเรียกชื่อแตกต่างกันไปตามความเชื่อและขนบธรรมเนียมประเพณีของสถานที่นั้นๆด้วยพลัง อำนาจอันเร้นลับของธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้จึงทำให้ชื่อเสียงของเหล็กไหล เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

เหล็กไหลมีลักษณะเป็นหินสีดำแต่มีความมันวาวคล้ายกับ โลหะสามารถยืดหดตัวเองได้เมื่อถูกลนด้วยความร้อนจากเปลวเทียน อีกทั้งยังสามารถเคลื่อนตัวไปมาได้ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตเมื่อระยะเวลาผ่านไปนานวันเหล็กไหลจึงสามารถปรับสภาพตัวเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัว อย่างเช่นที่เหล็กไหลบางสายพันธุ์เริ่มเกิดการแข็งตัว ขึ้นและติดอยู่ตามผนังถ้ำซึ่งได้กลายเป็นเหล็กไหลน้ำรองชนิดต่างๆ อาทิ โคตรเหล็กไหลงอก โคตรเหล็กไหลทรหด และโคตรเหล็กไหลย้อยเป็นต้น ส่วนเหล็กไหลชั้นดี(เหล็กไหลน้ำหนึ่ง)ที่ไม่ยอมแข็งตัว อาทิเหล็กไหลปีกแมลงทับ เหล็กไหลเพลิง และเหล็กไหลเจ้าป่า ซึ่งยังมีสภาพที่นิ่มคล้ายของเหลวนั้น ก็ยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ตามถํ้าในธรรมชาติ และต้องใช้วิชาการตัดเหล็กไหลเท่านั้นจึงจะสามารถนำเหล็กไหลประเภทนี้ออกมาจากธรรมชาติได้

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

เหล็กไหลนาคราช

เหล็กไหลนาคราช
เหล็กไหลนาคราช
เหล็กไหลนาคราช

เหล็กไหลนาคราชหรือเหล็กพญานาคราชนี้ถูกค้นพบที่บริเวณสระมรกต ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเขตป่าละอู อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เดิมที่ดินในบริเวณนี้เป็นที่รกร้างต่อมาได้ถูกปรับปรุงพื้นที่โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการปฏิบติกรรมฐาน จนกระทั่งได้มีการขุดที่ดินเพื่อทำการพัฒนา แต่เมื่อเริ่มขุดไปได้สักหน่อยก็ปรากฏมีตาน้ำผุดขึ้นมาซึ่งนับว่าเป็นเริ่องที่แปลกมาก เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นที่สูงอยู่บนยอดเขาอันยากที่จะมีตาน้ำผุดขึ้นมาได้ชาวบ้านบริเวณ ใกล้ไกลเมื่อทราบข่าวก็พากันขึ้นมาดูว่าจริงหรือไม่ที่มีตาน้ำอยู่บนยอดเขาซึ่งตามความเชื่อแต่โบราณนั้นตาน้ำในลักษณะนี้ถือว่าเป็นเส้นทางของพญานาคอันเป็นทางเชื่อมต่อไปสู่มิติของพญานาคได้

ต่อมาจึงได้มีการบวงสรวงองค์พญานาคราช และทราบจากผู้ที่มีญาณรู้ว่าพญานาคที่ดูแลสระแห่งนี้มีนามว่า "อรรคนาคินทร์" เป็น พญานาคราชที่บำเพ็ญตบะทางพระโพธิสัตวํซึ่งมีอิทธิฤทธิ์บารมีมาก และเป็นผู้ดูแลธาตุกายสิทธิ์หลายอย่างในบริเวณนั้น

สำหรับแร่เหล็กไหลนาคราชนี้ก็ถือว่าเป็นของสำคัญจากเมืองบาดาลสามารถพบได้เฉพาะบริเวณรอบๆ สระมรกตเท่านั้นโดย มีลักษณะเป็นเม็ดเหล็กมีความดำมัน บางก้อนเป็นสีน้ำตาลอมดำอมแดง หากดูเผินๆลักษณะของตัวแร่จะมีความคล้ายกับแร่ มันปูและแร่เม็ดมะขาม แต่จะแปลกไปกว่าตรงที่มีกระแสแม่เหล็กภายในตัวสูงอีกทั้งยังมีความแข็งและความเงามันมากกว่าแร่มะขามมาก

นอกจากนี้หากมีการอัญเชิญแร่เหล็กพญานาคราชลงประทับบนแผ่นน้ำ (คล้ายการอัญเชิญองค์พระธาตุเสด็จประทับบนแผ่นน้ำ) จะพบว่าแร่เหล็กพญานาคราชจะสามารถประทับลอยบนแผ่นน้ำได้เช่นเดียวกันทุกประการกับการประทับลอยบนแผ่นน้ำขององค์พระธาตุ โดยการประทับลงบนแผ่นน้ำของเหล็กพญานาคราชนี้จะมีลักษณะเป็นแอ่งบุ๋มลงไปปรากฏเป็นรัศมีโดยรอบองค์เหล็ก และเมื่อลอยอีกองค์หนึ่งลงไปก็ปรากฏว่าเหล็กพญานาคราชจะลอยเข้าหา กันคล้ายกับว่ามีแรงดึงดูดบางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเป็นกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีอยู่ภายในองค์เหล็ก ความน่าอัศจรรย์คือโดยคุณสมบัติขององค์เหล็กนั้นเป็นธาตุเหล็กซึ่งไม่น่าจะลอยบนแผ่นน้ำได้เลย หากเทียบกับก้อนกรวดแล้วย่อมมีน้ำหนักผิดกันมาก ซึ่งก้อนกรวดที่มีขนาดเท่าๆ กัน หรือเล็กกว่าก็ยังไม่อาจลอยบน แผ่นน้ำได้ แต่เหล็กพญานาคราชกลับสามารถลอยบนแผ่นน้ำได้อย่างน่าอัศจรรย์ และสามารถลอยข้ามคืนข้ามวันได้อีกด้วย

อีกทั้งยังสามารถลอยเกาะกันเป็นกลุ่มและจะไม่เข้าชิดติดขอบแก้วหรือภาชนะ ที่ใส่แต่อย่างใด หากแต่จะลอยอยู่กึ่งกลางภาชนะที่เราใส่ไว้นั้นจนกว่าจะจมลงไปถือว่าเป็นเหล็กมหัศจรรย์ในตระกูลเหล็กไหลอย่างหนึ่งที่หาได้ยาก

ครูบาอาจารย์จัดว่าเหล็กไหลพญานาคราชเป็นธาตุกายสิทธิ์ จากเมืองบาดาลที่มีอานุภาพครอบคลุมหลายด้านคือดีทั้งเป็นสื่อชักนำ แก้วแหวนเงินทองเข้ามาหา ป้องกันอันตรายทั้งจากอสรพิษและภูตผีปีศาจ สามารถกันเภทภัยทั้งปวงไม่ให้เข้ามากล้ำกรายได้ ดังนั้นหากวัตถุมงคลชนิดใดได้นำเอาเหล็กพญานาคราชนี้ฝังไว้ย่อมเป็นมหามงคล คงกระพัน และกันอันตรายได้เป็นอย่างดี หรือจะบูชาไว้ภายในผอบเหมือนการบูชาพระธาตุก็ได้ หากผู้ที่บูชามีจิตศรัทธาในองค์เหล็กไหลนาคราชแล้วองค์เหล็กก็อาจสำแดงปาฏิหาริย์แผ่รัศมีออกมาให้เห็น หรืออาจเสด็จมาเพิ่มเช่นเดียวกับการเสด็จมาขององค์พระธาตุซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่อัศจรรย่ยิ่ง

เหล็กไหลสะเก็ดดาว

สะเก็ดดาวหรืออุลกมณี
เหล็กไหลสะเก็ดดาว
เหล็กไหลสะเก็ดดาว
สะเก็ดดาวเป็นเครื่องรางกายสิทธิ์ที่มนุษย์เรานับถือมานานนับหมื่นๆปี จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นเครื่องรางของขลังชนิดแรกของโลกที่คู่กับอารยธรรมของมนุษย์เรานอกจากสะเก็ดดาวจะเป็นเครื่องรางที่เก่าแก่แล้วสะเก็ดดาวยังเป็นเครื่องรางที่ถูกจัดอยู่ในจำพวกเหล็กไหลด้วย ดังนั้นจึงมีเหล็กไหลหลายชิ้นที่เมื่อตัดมาแล้วพบว่า เนื้อหินมีลักษณะคล้ายดั่งสะเก็ดดาวมาก ชนิดที่ว่าถ้าวางรวมกันแล้วไม่มีทางแยกออกว่าชิ้นไหนเป็นสะเก็ดดาวชิ้นไหนเป็นเหล็กไหลตัดอย่างแน่นอน

จากความเชื่อที่ว่า "แท้จริงแล้วเหล็กไหลน่าจะมาจากนอกโลก" ดังนั้นวัตถุธาตุที่มาจากนอกโลกอย่างสะเก็ดดาว ซึ่งมีเนื้อธาตุที่เห็นได้ว่า เป็นแก้วใสสิดำสนิทและมีผิวขรุขระก็น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเหล็กไหลด้วยเช่นกัน อำนาจจากเหล็กไหลสะเก็ดดาวหรืออุลกมณีนี้เป็นที่เชื่อกันว่ามีฤทธิ์ไนทางป้องกันสายฟ้าฟาด กันไฟ กันเสนียดจัญไรทั้งหลาย รวมถึงภูตผีปีศาจและยังเป็นเมตตามหานิยมอย่างเอกอุ สามารถ คุ้มครองป้องกันเวลาเดินทางได้เป็นอย่างดี ชาวอีสาน ชาวส่วย และคนคล้องช้าง ต่างก็ให้ความนับถือในเครื่องรางชนิดนี้ว่ามีอิทธิฤทธิ์ในการป้องกันอาถรรพณ์จากพงไพรได้

เหล็กไหลสะเก็ดดาวเป็นเหล็กไหลที่มิธาตุน้ำอยู่ในตัวสูง และมีพลังงานเย็นในตัว เชื่อกันว่าหากผู้ใดได้สวมใส่หรือพกพาเหล็กไหลชนิดนี้ จะทำให้สามารถใช้โทรจิตได้ดี มีพลังจิตเข้มแข็งขึ้น และสามารถรับคลื่นทางจิตในอากาศได้ดีขึ้นกว่าเดิม

เหล็กไหลในพระธาตุ

เหล็กไหลในพระธาตุ
เหล็กไหลในพระธาตุ

เหล็กไหลในพระธาตุถือกันว่าเป็นของแปลก หากผู้ใดได้ครอบครองเหล็กไหลในพระธาตุโดยเฉพาะอย่างยิ่งหินพระธาตุเขาสามร้อยยอด พระธาตุพระโมคคัลลา พระสารีบุตร และพระสิวลี จึงถือว่าเสมือนหนึ่งมีเหล็กไหลอยู่กับตัว เพราะภายในหินพระธาตุ ขององค์พระสาวกแต่ละองค์จะมี "หัวใจพระธาตุ" ซึ่งมีรูปพรรณสัณฐานเป็นสีดำบางองค์เป็นสีแดง บางองค์ก็เป็นแก้วผลึกหัวใจพระธาตุคือส่วนที่เชื่อถือกันว่าเป็นเหล็กไหล มีข้อสันนิษฐานว่าเหล็กไหลในพระธาตุเกิดขึ้นจากการที่เหล็กไหลถูกห้มตัว ด้วยหิน หรืออาจจะเป็นการสร้างรังของเหล็กไหล หรือจะเป็นไปด้วย

อำนาจของเทวดาททีปกปักรักษาองค์พระธาตุ หรือจากอำนาจ ธรรมชาติสร้างสรรค์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ที่สำคัญคืออานุภาพ ของเหล็กไหลในพระธาตุนั้นเป็นคงกระพัน มหาอุดเป็นเยี่ยมและยังเป็นของทางร่มเย็นเป็นสุขอีกด้วย เหล็กไหลในพระธาตุแทบทุกชนิดจะมีพลังเย็นอยู่กับตัวเป็นหลักและโดยมากองค์พระธาตุเหล่านันมักพบอยู่ในแท่นพระธาตุ ที่มีลักษณะเป็นดอกบัวหรือพบอยู่ตามแท่งหินโดยฝังตัวอยู่เป็นเม็ดๆเต็มไปหมด และมักพบว่าแช่อยู่ในนาหรือมีทางนาไหลผ่าน ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่ามีอาโปธาตุหรือธาตุน้ำอยู่ในตัวสูงจึงเหมาะกับผู้ที่ปฎิบัติกรรมฐาน หากผู้ใดพกไว้กับตัวจะเป็นทั้งเมตตา มหาอุด และแคล้วคลาด นอกจากนี้ยังสามารถบันดาลให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข และยังมีอำนาจในทางบำบัดรักษาโรคได้ดีด้วยเช่นกัน

เหล็กไหลตาแรด

เหล็กไหลตาแรด
เหล็กไหลตาแรด
เหล็กไหลตาแรด
เหล็กไหลตาแรดพบในเทือกเขาตาแรด ที่จังหวัดกาญจนบุรี ผู้ที่พบในครั้งแรกคืออดีตเจ้าอาวาสของวัดถ้ำแฝดตั้งแต่องค์ก่อนๆ แต่เหล็กไหลตาแรดมาเป็นที่รู้จักกันดีในสมัยที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์คัมภีโร ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส และสืบเนื่องมาจนถึงพระอาจารย์วัชระ เอกวัณโณเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน เหล็กไหลตาแรดมีคุณสมปัติเด่นทางด้านคงกระพันเป็นยอด โดยเฉพาะทำให้เนื้อหนังทนทานต่อของมีคมได้อย่างน่าอัศจรรย์ รวมทั้งกันภูตผีปีศาจและอสรพิษทั้งปวงได้ เหล็กไหลตาแรด จะมีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ หรือสัณฐานกลมเล็กๆ สีดำคล้ายนิล ถ้าเอาแม่เหล็กมาล่อจะดูดติด คนทั่วไปมองเผินๆ อาจจะคิดว่าเป็นนิล

แต่เมื่อนำมาเจียระไนจะดูคล้ายก้อนโลหะสีดำมันสวยแวววาว บางคนนิยมเอามาทำเป็นเครื่องประดับก็มี ในการนำเหล็กไหลตาแรดมาใช้ด้วยวิธีการหลอมแร่นั้นจะ สามารถทำได้ก็ต่อเมื่อผู้หลอมต้องมีวิชาบังคับธาตุสี่ เช่นเดียวกับการ หลอมเหล็กไหลชนิดอื่นๆ อย่างเหล็กไหลย้อย เหล็กไหลหยดหรือ โคตรเหล็กไหลทรหด ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องยากในการจะนำเอาเหล็กไหลตาแรดมาใช้ ดังนั้นจึงนิยมนำ เหล็กไหลตาแรดมาใช้ในสามรูปแบบด้วยกัน รูปแบบที่หนึ่งคือนำเอาก้อนดิบๆ ของเหล็กไหลตาแรดมาพกไว้กับตัวเหมือนการคล้องพระเครื่อง รูปแบบที่สองคือนำเอาเหล็กไหล ชนิดนี้มาฝังลงในองค์พระเครื่อง หรือนำมาบดรวมกับมวลสารที่ใช้ใน การสร้างองค์พระและรูปแบบสุดท้ายซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดคือ การนำเอาเหล็กไหลชนิดนี้มาเจียระไนเป็นเม็ดเล็กๆ ขนาดเท่าหัวไม้ขีดแล้วนำมาฝังไว้ในร่างกายคนเรา

แร่มะขาม

แร่มะขาม

แร่มะขามเป็นเหล็กไหลกายสิทธิ์อีกชนิดหนึ่ง แต่เนื่องจากแร่มะขามมีลักษณะเหมือนเม็ดมะขามเป็นอย่างมาก ชาวบ้านที่ขุดพบจึงเรียกว่า "แร่เม็ดมะขาม" ตามลักษณะที่ค้นพบ บรรดาฤาษี หรือผู้ทรงวิทยาคุณในสมัยพันกว่าปีก่อนต่างนิยมแสวงหาแร่ชนิดนี้ เพื่อที่นำมาใช้สร้างเป็นพระ โดยค้นพบหลักฐานจากพระรอดลำพูนว่าภายในองค์พระบางองค์ได้มีการฝังเม็ดแร่ชนิดนี้เอาไว้รวมทั้งพระซุ้มกอและพระนางพญาก็ได้มีการนำเอาแร่ชนิดนี้มาบดเป็นมวลสารในการสร้างด้วยเช่นกัน

แร่เม็ดมะขามเป็นของดีทางคงกระพันและแคล้วคลาดจากศาสตราวุธเป็นหลักแร่มะขามจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับพระธาตุเหล็กไหล ซึ่งพระธาตุเหล็กไหลก็คือเหล็กไหลที่หลุดออกมาจากรัง เป็นเม็ดๆ และมีลักษณะสัณฐานกลมคล้ายกับพระธาตุของพระสาวกอย่างพระธาตุของพระโมคคัลลาและพระธาตุของพระสารีบุตร จึงนิยมเรียกเหล็กไหลสัณฐานนี้ว่าพระธาตุเหล็กไหลตามลักษณะที่ใกล้เคียงกับพระสาวกธาตุนั่นเอง