วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

เหล็กไหล มายาลวงโลก หรือ มหัศจรรย์เหนือพิภพ



เหล็กไหล
บทความนี้ถูกนำเสนอในแง่ปรากฏการณ์หนึ่งในสังคมไทย ที่ปัจจุบันยังมีผู้เชื่อถือในเรื่องเร้นลับอยู่มากมายในหลายเรื่อง

ถูกมองข้ามเหตุผลที่เป็นไปตามกระบวนวิทยาศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันมีบุคคลหลายคณะที่เชื่อถือเเละเเสวงหาธาตุกายสิทธิ์ชิ้นนี้ที่เรียกว่า เหล็กไหล โดยมีบุคคลมากมายที่ต้องสูญเสียทรัพย์สมบัติอันมีค่ามหาศาล ที่สร้างสมมาเกือบชั่วชีวิตและบางรายกลับต้องจบชีวิตลงอย่างไม่ถึงวัยอันสมควร ในการเข้าไปเกี่ยวพันกับสิ่งลี้ลับนี้ เหตุใดบุคคลเหล่านั้นที่มีทั้งส่วนที่เรียกว่า ปัญญาชนที่ได้รับการศึกษาในสายวิทยาศาสตร์ที่มีความเจริญก้าวหน้าในเทคโนโลยีอย่างล้ำยุคจึงเชื่อถือ มีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในความเชื่อนี้หรือ กับปรากฏการณ์ปัจจุบันที่มีผู้นำเสนอต่อสังคมถึงธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้อย่างมากมายดาษดื่น

ทั้งมีบุคคลชั้นสูงในสังคมจำนวนมากที่ยอมแลกเปลี่ยนด้วยเงินตราจำนวนมาก มีการแบ่งแยกชนิดออกอย่างหลากหลายแต่ไม่มีการนำเสนอสักสื่อเดียว ที่สามารถนำเรื่องราวทั้งหลายมาตีแผ่อย่างละเอียดลึกซึ้งถึงพิธีกรรม และความหมายของนิยามเหล็กไหลที่เเท้จริงคืออะไร? เเละเราควรมองเรื่องเหล็กไหลนี้อย่างไร?จึงเป็นเหตุสำคัญประการหนึ่ง ที่กองบรรณาธิการต้องตัดสินใจนำเสนอเรื่องนี้ขึ้นแม้ว่าบางส่วน

อาจจะสวนทางความเชื่อกับกระเเสสังคมบางกลุ่มก็ตาม แต่ก็ด้วยเจตนาบริสุทธิ์มิได้หวังขัดผลประโยชน์ของผู้ใด หรือคณะใดเเละทางกองบรรณาธิการก็มิได้มีวัตถุที่เรียกว่า เหล็กไหลให้เเลกเปลี่ยนซื้อขายแต่อย่างใด แต่เราต้องทำเพื่อความมุ่งมั่นที่จะร่วมสร้างสังคมดำรงศาสตร์อย่างแท้จริง จึงแจ้งมาให้ทราบและหวังอย่างยิ่งว่าหากเนื้อหาของบทความนี้อาจขัดเเย้งกับคณะ หรือความเชื่อใดก็เป็นในแง่ของงานบันทึกทางวิชาการ ที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคมที่มีต่อธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้เท่านั้น


เหล็กไหลกับนิยามที่เเท้จริง
จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ได้นิยามความหมายของคำว่า"เหล็กไหล" ว่า น.โลหะชนิดหนึ่งที่เชื่อกันว่าเอาไฟเทียน ลนก็ไหลย้อยได้ นอกจากนี้ยังหมายถึง พืชจำพวกว่านชนิดหนึ่งด้วย ในแง่ที่เป็นโลหะหากเราพิจารณาความแค่นี้ก็คงเข้าใจว่าโลหะที่ถูกหลอมชนิดหนึ่ง ที่ไม่อาจได้ความอะไรได้มากนัก แต่จากผู้สันทัดกรณีที่ไม่ประสงค์จะออกนามท่านหนึ่งที่คลุกคลีกับวงการ ที่เชื่อถือเรื่องเหล็กไหลมานานนับสิบปีกว่าครึ่งชีวิตและเป็นผู้หนึ่ง ที่บุคคลชั้นสูงในสังคมหลายท่านเชื่อถือและมั่นใจว่า ท่านผู้นั้นเป็นบุคคลผู้หนึ่งที่รู้เรื่องเหล็กไหลดี และที่สำคัญมีความรู้ความสามารถที่จะสามารถตัด หรืออัญเชิญธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ออกมาให้เห็นประจักษ์ทีเดียว ซึ่งขนาด กองถ่ายภาพยนตร์ที่กำลังถ่ายทำอยู่ขณะนี้ที่ชื่อเรื่องว่า "มนุษย์เหล็กไหล" ก็ขอคำเเนะนำเเละขอชมภาพยนตร์วิดีโอที่ถ่ายทำ

ขณะท่านผู้นี้ตัดเหล็กไหลในถ้ำเเห่งหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้าที่กองบรรณาธิการจะนำเสนอเรื่องเหล็กไหลนี้ก็เคยดูภาพวิดีทัศน์ ซึ่งรายการส่องโลกที่ในสมัยนั้นคุณสันติสุข พรหมศิริ นักแสดงและพิธีกรชื่อดังก็เคยพยายามนำเสนอ เเละพิสูจน์ทราบเรื่องนี้จนเป็นที่ฮือฮาเมื่อหลายปีก่อน และที่โด่งดังที่สุดก็ตอนที่นักเขียนนาม "พนมเทียน" ได้ถ่ายทอดถอดความบันทึกจากปากคำของทันตแพทย์ผู้หนึ่งออกตีแผ่วงการเหล็กไหลที่ น.ส.พ.เดลินิวส์จนเป็นที่โด่งดังเมื่อเมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ใช้เวลานานถึงสองปีคือจบบทความในมกราคมปี พ.ศ. ๒๕๒๕ และบุคคลที่กล่าวอ้างว่าเป็นอาจารย์ผู้ตัดเหล็กไหลนั้นก็เพิ่งเสียชีวิตอย่างน่าฉงนไปเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่เรื่องราวที่ผมนำเสนอนี้จะน่าตื่นเต้น เเละพิสดารในรายละเอียดที่ปรากฏในพิธีกรรมที่มากกว่า เพราะมีการเรียกเจ้าวัตถุธาตุกายสิทธิ์นี้ให้มาปรากฏในพิธีกรรมที่จัดขึ้นในบริเวณปริมณฑลกรุงเทพฯนี่เอง โดยไม่ต้องเดินทางไปที่ป่าเขาอย่างที่หลายท่านเคยเชื่อถือ และท่านอาจเห็นว่าเป็นการมายาเล่นกลหรือลวงหลอกก็ตาม แต่ก็มีผู้พิสูจน์เรื่องนี้อยู่หลายคนและต่างยอมรับในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น

นิยามของเหล็กไหลที่เเท้จริงนั้น ท่านผู้สันทัดกรณีได้ชี้เเจงว่า ความจริงเป็นธาตุอย่างหนึ่งที่ปรากฏในบรรยากาศรอบๆ ตัวเราอย่างที่เรียกว่า "ขี่" ในภาษาจีน หรือ "ปราณ" ในภาษาโยคะ ที่อาจเรียกเพื่อความเข้าใจง่ายๆว่า "เชื้อชีวิต" ที่ปรากฏในสิ่งต่างๆให้มีพลังมีจิตใจหรือวิญญาณภายใน และธาตุเหล่านี้เองที่ถูกนำมาควบแน่นหรือกลั่นตัวด้วยกระบวนการพิธีกรรม และว่านยาจนเกิดสิ่งที่คนโดยทั่วไปเข้าใจว่าเป็น "เหล็กไหล" ซึ่งในสายวิชาของท่านผู้นี้ได้เรียกสิ่งนี้ว่า "เจ้าแม่ธรรมชาติพญาเหล็ก" ลักษณะสำคัญของธาตุที่ว่านี้อาจเรียกว่าอนุมูลทิพย์ หรือไอทิพย์นั้นเมื่อนำมาสอบค้นก็พบว่าในจีนเเละ ทิเบตก็มีความเชื่อเรื่องราวเหล่านี้โดยเรียกว่า "เหล็กสวรรค์" หรือเทียนเทียะ (ซึ่งก็คือตราประจำอุณมิลิตนั่นเอง) ส่วนในขอมยุคโบราณก็พบว่ามีการนำโลหะธาตุชนิดนี้มาสร้างของศักดิ์สิทธิ์ โดยเชื่อว่าเป็นนักบวชที่มาจากทิเบตเป็นผู้นำวิทยาการนี้มาถ่ายทอดเเละรู้จักกันในชื่อ "เหล็กเย็น" ส่วนทางด้านมาลายูก็มีความเชื่อ และพิธีกรรมที่เกี่ยวกับธาตุกายสิทธิ์ที่เรียกเป็นภาษามาลายูว่า "บือซี ซือเละ" ที่มีความหมายตรงตัวว่า เหล็กไหลนั่นเอง ความเชื่อที่เกือบเหมือนและพิธีกรรมที่มีบางส่วนคล้ายกันเช่นการใช้น้ำผึ้ง นั้นยืนยันว่าศาสตร์นี้มิใช่ความรู้เฉพาะศาสนาใดศาสนาหนึ่งเเต่เป็นศาสตร์ ที่ถูกนำความเชื่อทางศาสนามาผูกพันเพื่อสร้างจรรยาในการถือครองขึ้น

นิยามของสิ่งที่เรียกว่าเหล็กไหลนั้น ยังครอบคลุมถึงคุณสมบัติของสิ่งนี้ โดยทั่วไปเชื่อว่ามีลักษณะเหมือนสิ่งมีชีวิตที่เเตกต่างจากสิ่งมีชิวิตที่มีธาตุขันธ์โดยทั่วไป ที่เห็นอยู่เพราะเชื่อว่า เป็นโลหะ และที่เชื่อว่าโลหะมีชีวิตในทางไสยศาสตร์นั้นก็มีเพียงสองชนิดเท่านั้นก็คือ เหล็กไหลที่ว่านี่ และปรอท ส่วนอีกธาตุหนึ่งที่ถือว่ามีจิตมีชีวิต เเต่ไม่ใช่โลหะก็คือ "แก้ว" หรือเรียกว่า "ธาตุสำเร็จ" แต่จะอภิปรายเฉพาะเพียงธาตุโลหะที่เป็นธาตุเทียบเคียง โดยทั้งสองสิ่งนั้นเป็นยอดปรารถนาของคนที่เชื่อเรื่องคาถาอาคมว่า หากครอบครองสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็จะเหนือมนุษย์ไม่มีผู้ใดทำอันตรายได้ (แต่ที่เห็นก็ตายลงหลุมเกือบทุกคนเพราะ เป็นกฏธรรมชาติ) การที่ว่ามีชีวิตของ "เหล็กไหล" หรือ "ปรอท" ก็เพราะทั้งสองสิ่งนั้นเคลื่อนที่ไปมาได้เอง (เรียกว่าเดินหน) และมีการเสพ บางสิ่งบางอย่างซึ่งปรอทนั้นจะเสพโลหิตและของเน่าเสีย แต่ปรอทบางชนิดจะเสพไอดิน ไอฟ้า และไอตัวจากบุคคลบางประเภทในคอลัมน์นี้ จะเว้นเสียไม่กล่าวถึงซึ่งความจริงเป็นการจับขั้วของธาตุเสียมากกว่า ส่วนเหล็กไหลนั้นเชื่อว่า เสพไอหอมของเกษรดอกไม้ โดยจะเสพโดยตรง และบางคณะเชื่อว่าอาจเสพจากดินบางประเภทที่เรียกในภาษาปักษ์ใต้ว่า "ดินกากยายักษ์" ที่เป็นเศษของสมุนไพรของคนยุคโบราณ โดยมีว่านชนิดหนึ่งที่เป็นของคู่กันหากนำมารวมกันก็จะต่างเพิ่มอำนาจแก่กันอีกมาก ส่วนจะเป็นว่านอะไรก็ขออุบไว้ก่อน และที่รู้จักกันดีก็คือ "น้ำผึ้ง" และยิ่งเป็นน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งหลวงที่ขึ้นบนยอดผาสูงโดดเดี่ยว และหากมีคดผึ้งในรังผึ้งนั้นก็ยิ่งเชื่อว่าจะเสริมอานุภาพให้เหล็กไหลศักดิ์สิทธิ์เป็นทวีคูณ โดยนักไสยเวทหลายท่านเชื่อว่ามีเหล็กไหลบางประเภทที่บ่มตัวสามารถเสพไอดินไอฟ้า และง้วนผึ้งก็จะมีอำนาจมากจนอาคมไม่สามารถผูกอยู่ได้เเต่อย่างใดต้องเชิญด้วยจิตเท่านั้น ลักษณะของเหล็กไหลนั้นเทียบเคียงกับธาตุวิทยาศาสตร์ที่ชื่อว่าทอร์เรียม(Thorium) โดยมีคุณสมบัติ……

(สามารถติดตามละเอียดเพิ่มเติมได้ในนิตยสารอุณมิลิต ฉบับที่ ๒๓ เดือนเมษายน ๒๕๔๘)

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

ข้าวตอกพระร่วง

ข้าวตอกพระร่วง

จัดอยู่ในตระกูล “พญาเหล็ก” ชนิดหนึ่งมีลักษณะเป็นผลึกรูปสี่เหลี่ยมเล็กใหญ่คล้ายโลหะสีนํ้าตาลฝังตัวอยู่ใต้พื้นดินในเขตจังหวัดสุโขทัยถ้านำมาขัดก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนนิลแวววาวตามตำนานที่เล่าขานสืบทอดกันมาแต่ยุคสุโขทัยเมื่อพระร่วงเจ้าได้ออกผนวชในวันใส่บาตรเทโวบนลานวัดเขาพระบาทใหญ่เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จแล้วท่านได้โปรยข้าวที่เหลือจากก้นบาตรลงบนลานวัดแล้วอธิษฐานว่าให้ข้าวตอกดอกไม้นี้กลายเป็นหินชนิดหนึ่งและมีอายุยืนนานชั่วลูกชั่วหลานเมื่อใครได้บูชาบนหิ้งพระหรือพกติดตัวก็จะอยู่ดีมีสุขและเจริญด้วยโภคทรัพย์นานาประการใช้ฝนนํ้ามะนาวถอนพิษสัตว์เขี้ยวงาทุกชนิดอมไว้ในปากทำให้ชุ่มชื่นคอ

แก่นไม้หิน

แก่นไม้หิน

จัดอยู่ในตระกูล "พญาเหล็ก" คือไม้กลายเป็นหินฝรั่งเรียกว่า “ฟอสซิล” จัดอยู่ในลูกหลานว่านเครือของเหล็กไหลเชื่อกันว่าเป็นที่ลงทัณฑ์เหล่าอสูรเทพที่ดุร้ายเหมือนการ “เข้ากรรม” เสวยกรรมในโลกมนุษย์เพื่อไถ่บาป1พุทธันดรมีตบะเดชะทางด้านมหาอำนาจแคล้วคลาดกันภัยเมตตาโชคลาภกันพิษ

สะเก็ดดาว

สะเก็ดดาว

เหล็กไหลจากต่างดาวเชื่อกันว่ามีพลังมหัศจรรย์หลายอย่างแฝงอยู่ในอุกกามณีเกิดจากการระเบิดของดวงดาวจากนอกโลกที่ผ่านบรรยากาศแล้วเกิดการลุกไหม้ก่อนตกลงสู่พื้นโลกมีขนาดตั้งแต่ขนาดก้อนกรวดจนใหญ่ขนาดก้อนหิน10กิโลกรัมไม่กินนํ้าผึ้งหรือชอบเล่นไฟแต่ดีเด่นทั้งด้านเมตตาโชคลาภแคล้วคลาดกันภัย

เหล็กหลบ

เหล็กหลบ

จัดอยู่ในประเภทธาตุกายสิทธิ์คล้ายเหล็กไหลพบได้ตามแม่นํ้าสายสำคัญของประเทศเกิดจากการหมุนวนของแม่นํ้าที่พัดพาเอาแร่ธาตุต่างๆมารวมกันทับทมทวีจนเกิดการจับตัวเป็นก้อนกลมสีดำเป็นมันสีเขียวอมดำสีเปลือกมังคุดหรือนํ้าตาลไหม้สีทองดอกบวบไม่ชอบเล่นไฟหรือกินนํ้าผึ้งปืนยิงออกแต่ไม่ถูกเด่นทางแคล้วคลาดกันภัยจากอันตรายรอบด้านเช่นมีดรุมแทงก็จะไม่ถูกรังสีเหล็กหลบจะทำให้แฉลบออกไปหรือพกเหล็กหลบเข้าใต้ต้นพุดทราแล้วเขย่าให้ลูกหล่นลงมาก็จะไม่ถูกตัว

เพชรหน้าทั่ง

เพชรหน้าทั่ง

จัดอยู่ในจำพวกธาตุกายสิทธิ์คล้ายเหล็กไหลพบได้ตามถํ้าบนเขาเจ็ดร้อยยอดจ.พัทลุงลักษณะเป็นโลหะผลึก4เหลี่ยมสีเหลืองนวลออกขาวคล้าย “แสตนเลส” ฝังตัวอยู่ในก้อนหินเล็กบ้างใหญ่บ้างบางคนเรียก “เหล็กสายฟ้า” อยู่ในตระกูล “อัญมณี” ประกอบด้วยธาตุที่เป็นทองคำและแร่เงินผสมอยู่ด้วยกันสีจึงออกเหลืองนวลอมทองอมเงินและหากโดนปฏิกิริยาทางเคมีก็จะกลายเป็นสีทองมีฤทธิ์อำนาจในตนเองด้วยจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในธาตุโลหะนั้นโบราณเชื่อกันว่าเพชรหน้าทั่งเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่จะทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าของเกิดความรํ่ารวยมักจะอยู่ในเขตที่มีสายแร่ทองคำภายใต้ภูเขาลูกนั้น

เหล็กไหลนาคราช

เหล็กไหลนาคราช

หรือเหล็กไหลบาดาล มักปรากฏอยู่ในลำแม่นํ้าใหญ่ที่มีภูเขาสลับซับซ้อนเช่นแม่นํ้าโขงแม่นํ้าแยงซีเกียงแม่นํ้าคงคาเป็นต้นเพราะต้นนํ้าเหล่านี้มาจากภูเขาสูงที่ศักดิ์สิทธิ์ลักษณะคล้ายก้อนหินมันเงาเป็นเลื่อมสีดำเหมือนนิลแม่เหล็กดูดติดเชื่อว่าป้องกันพิษสัตว์เขี้ยวงาแคล้วคลาดคงกระพัน

ขี้เหล็กไหล

ขี้เหล็กไหล

มักจะปรากฏอยู่ในถํ้าหรือบริเวณที่มีเหล็กไหลเหมือนกับมูลหรือการขับถ่ายของเสียจากเหล็กไหลลักษณะเป็นก้อนกลมๆสีออกดำบ้างนํ้าตาลบ้างไม่สามารถยืดได้หดได้แม่เหล็กดูดไม่ติดหากครูบาอาจารย์ผู้ทรงฌาณทำพิธีกรรมให้ถูกต้องเฉกเช่นวัตถุมงคลที่ถูกปลุกเสกก็จะมีอานุภาพตามที่ประสงค์

เหล็กเปียก

เหล็กเปียก

เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมากพรรณสัณฐานสีขาวขุ่นเหมือนตะกั่วนับเป็นโลหะธาตุที่มีเนื้อเปียกชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลาคล้ายๆกับนํ้าค้างจับเกาะเข้าไปอยู่ในสถานที่ใดก็จะเกิดบรรยากาศเย็นสบายถ้าอยู่ใกล้ลูกปืนอาจทำให้กระสุนด้านเพราะการแผ่รังสีความเย็นของเหล็กเปียกสมัยโบราณนิยมใช้เหล็กเปียกประดับไว้ที่ยอดพระเจดีย์ป้องกันฟ้าผ่ามีอานุภาพทางหนังเหนียวคงกระพันอาวุธทุกชนิด

เหล็กไหลเศรษฐี


เหล็กไหลเศรษฐี

เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมาก อาศัยอยู่ภายในถ้ำใต้น้ำ มี ลักษณะเป็นผงเกล็ดสีดำเงามันระยิบระยับ เหมือนกับเพชรต้องแสงไฟ ไหลออกมาตามธารน้ำในฤดูน้ำหลาก เชื่อกันว่าเป็นของชาวบาดาล บันดาลโชคลาภให้แก่ผู้บูชา ชาวบ้านที่นำมาขายให้จากภาคอีสาน เรียกเหล็กไหลน้ำ ชาวบ้านได้มาจากในถ้ำ ที่จังหวัดทางภาคอีสาน ลักษณะเป็นสีดำมีเกล็ดเล็ก ๆสีเงิน แวววาว มีความชื้นตลอดเวลา ถ้านำมาทาถูตามผิวหนังสักพักจะซึมเข้าผิวหนังเหลือเฉพาะเกล็ดสีเงินติดตามผิวหนัง ลักษณะคล้ายกากเพชร นิยมนำไปบูชาเกี่ยวกับการค้าขาย การเสี่ยงโชคลาภ จะพบกับความร่ำรวย ผู้มีบูชาไว้มักทำให้เจ้าของมีฐานะการเงิน กิจการ ค้าขาย โชคลาภดีขึ้น
ชาวบ้านที่ได้มาเล่าว่า เข้าไปในถ้ำ จะมีหยดน้ำไหลหยดลงมาทีละหยดช้าๆ พอน้ำหยดลงมารวมกันมากขึ้นจะมีลักษณะมันวาว มีเกล็ดเล็ก ๆสีเงินรวมผสมอยู่เมื่อตกลงมาถึงพื้นถ้ำ เป็นลักษณะสีดำเม็ดเล็กๆมากขึ้นมากขึ้น แล้วชาวบ้านก็ใช้ไม้แผ่นกวาดเก็บเอามาจากถ้ำ ชาวบ้านที่ภาคอีสานเรียกเหล็กไหลน้ำ,ขี้เหล็กไหล,เหล็กไหลเศรษฐี จะพบได้เฉพาะในถ้ำที่มีเหล็กไหลเท่านั้น

เหล็กไหลตานํ้า

เหล็กไหลตานํ้า

เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมีพรรณสัณฐานสีเขียวปนดำเป็นมันด้านลักษณะทรงกลมหรือรูปหยดนํ้าขนาดเล็กกว่าถั่วเขียวเล็กน้อยชอบเกาะอยู่ตามตานํ้าในซอกหินภายในถํ้าที่ลึกลับอาถรรพ์การค้นหานอกจากวิชาอาคมแล้วยังต้องสังเกตุตามตานํ้าที่ไหลผ่านบริเวณหินผาที่มีตะไคร่นํ้าเกาะอยู่มากๆต้องค่อยๆเอามือแหวกหาดูจึงจะพบ

เหล็กไหลเพลิง

เหล็กไหลเพลิง

เป็นเหล็กไหลที่พอหาได้ไม่ยากพบอยู่ในถํ้าต่างๆหลายแห่งฝังตัวเองอยู่ตามเพดานและผนังถํ้าที่มีลักษณะเหมือนผงฝุ่นละเอียดออกสีแดงหรือนํ้าตาลองค์ขนาดเมล็ดถั่วเขียวหรือใหญ่กว่าหากลองอธิษฐานจิตจับดูจะรู้สึกว่าร้อนเหมือนไฟเชื่อว่าสามารถแสดงภาพมายาหลอกหลอนทำให้ศัตรูตกใจกลัวได้

เหล็กไหลย้อย

เหล็กไหลย้อย

เป็นเหล็กไหลที่ปรากฏอยู่ค่อนข้างมากสีออกดำหรือเทาดำด้านไม่มีแววเปราะและกรอบเหมือนเหล็กผุเป็นเหล็กไหลที่ตายซากแล้วไหลย้อยอยู่ในซอกถํ้าที่ลี้ลับลักษณะแข็งกรอบยาวเป็นศอกเป็นคืบเป็นวาไม่ยืดหรือหดได้อีกไม่กินนํ้าผึ้งแม่เหล็กไม่ดูดเกิดจากได้มีการเคลื่อนย้ายแหล่งหานํ้าผึ้งไปในสถานที่ใหม่ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปมากธาตุขันธ์เดิมจึงถูกทิ้งไว้เหมือนไม่มีชีวิตจิตวิญญาณคือเหลือแต่ซากนั่นเองบางทีมีอสูรกายชอบถือโอกาสเข้าแอบแฝงอาศัยอยู่เกจิอาจารย์ที่มีกฤตยาคมสูงสำเร็จอัปปนาสมาธิพลังจิตแก่กล้ามักจะนำมาปลุกเสกให้เกิดอานุภาพเมตตามหานิยมแคล้วคลาดคงกระพันจนถึงมหาอุดเลยทีเดียวแต่ถ้านำมาหลอมละลายด้วยไฟอาคมจะกลายเป็นของเหลวสีดำมันวาวเหมือนนิลหล่อหลอมเป็นพระพุทธรูปเครื่องรางต่างๆได้ดีมีอานุภาพทางโชคลาภแคล้วคลาดคงกระพันชาตรีทำลายอาถรรพณ์ทุกชนิดหากบูชาให้ดีจะเปลี่ยนเป็นสีต่างๆได้หลายสีตามบารมีของผู้บูชา

โคตรเหล็กไหล

โคตรเหล็กไหล (เหล็กไหลงอกหรือเหล็กทรหด)

เป็นเหล็กไหลที่มีปรากฏอยู่ค่อนข้างมากสีดำสนิทเป็นมันเลื่อมเมื่อกระทบแสงสว่างผิวค่อนข้างละเอียดแม่เหล็กดูดไม่ติดพบเห็นได้ตามถํ้าที่ลึกลับเกิดจากเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลกนี้จึงมีพวกเทพที่เป็นยักษ์หรือคนธรรพ์คอยให้ความอารักขาไม่ยืดหรือหดได้อีกแม่เหล็กดูดไม่ติดแต่ชอบกินนํ้าผึ้งสามารถงอกโตขึ้นเองบางทีหากเจ้าของบูชาให้ดีจะเปลี่ยนเป็นสีดำอมเขียวไปจนถึงเป็นสีรุ้ง๗สีดีทั้งเมตตาโชคลาภแคล้วคลาดกันภัยมหาอุดคงกระพันถอนพิษสัตว์เขี้ยวงาต่างๆงอกขึ้นอยู่ตามพื้นถํ้าและผนังถํ้าที่มีความชื้นและเย็นพอสมควรสามารถนำมาแกะหรือเจียรนัยเป็นเครื่องรางหรือรูปวัตถุมงคลตามต้องการ

เหล็กไหลเงินยวง

เหล็กไหลเงินยวง

เป็นเหล็กไหลที่หาได้ค่อนข้างยากสีขาวขุ่นเป็นมันเลื่อมสีเหมือนเงินยวงพบได้ตามถํ้าที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นมีคุณธรรมทางด้านเมตตามหานิยมคงกระพันชาตรีแคล้วคลาดและล่องหนหายตัวได้ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรมหรือดลจิตดลใจของผู้ครอบครองเหล็กไหลนี้ตั้งมั่นอยู่ในการสร้างบุญกุศลเกิดจากเทพในระดับ “อรูปฌาณ” ที่มีบารมีธรรมสูงเป็นผู้ครอบครองเหล็กไหลประเภทนี้มักจะอยู่ในครอบครองของพวกนักบวชต่างๆ

เหล็กไหลไพร

เหล็กไหลไพร

เหล็กไหลไพร เป็นเหล็กไหลที่พอหาได้โดยไม่ยากลำบากสีดำสนิทหรือเทาดำเนื้อค่อนข้างหยาบไม่มันวาวยืดได้หดได้ชอบเล่นกับไฟแต่ถ้าทำหลุดมือตกลงสู่พื้นดินจะหายวับไปทันทีคล้ายกับปรอทสำเร็จที่ถูกพวกยักษ์หรือคนธรรพ์ผู้รักษาช่วงชิงกลับไป

ดีเด่นทางเมตตาโชคลาภแคล้วคลาดกันภัยเกิดจากเทพในระดับตํ่าลงมาใช้กรรมมีทั้งที่แม่เหล็กดูดติด และแม่เหล็กดูดไม่ติดขึ้นอยู่กับถิ่นกำเนิดและแร่ธาตุในบริเวณดังกล่าวถ้ามีธาตุเหล็กมากก็จะติดแม่เหล็ก

เผ่าพันธุ์ของเหล็กไหล



เหล็กไหลเป็นโลหะธาตุที่มีความลี้ลับพิสดารแปลกประหลาดมหัศจรรย์แตกต่างไปจากโลหะธาตุทั้งปวงจึงได้ถูกจัดอยู่ในฐานะ “ธาตุกายสิทธิ์” ที่มีชีวิตจิตวิญญาณซึ่งเป็นไปตามวิบากของกฏแห่งกรรมที่บันดาลให้วิญญาณในสังสารวัฏมาปฏิสนธิในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติทั่วไป

ดังนั้น “เหล็กไหล” จึงถือเสมือนหนึ่งเป็น “สัตว์โลกที่มีชีวิต” เผ่าพันธุ์หนึ่งในโลกเพราะเหล็กไหลมีทั้งตัวผู้และตัวเมียสามารถเคลื่อนไหวได้เสพบริโภคนํ้าผึ้งเป็นอาหารมีการขับถ่ายออกมาได้ซึ่งเรียกกันว่า“ขี้เหล็กไหล”นอกจากนี้ยังสามารถเสพกามได้แต่เป็นการเสพกามกันทางกระแสจิตวิญญาณเพราะเพียงแต่มีความรู้สึกใคร่ในกามารมณ์ก็สามารถบรรลุจุดสุดยอดได้ในทันทีโดยไม่ต้องมีการถูกต้องสัมผัสกันและชอบพักผ่อนหลับนอนในสถานที่สงบตามถํ้า

เหล็กไหลจึงจัดเป็นสัตว์ที่ประเสริฐเผ่าพันธ์หนึ่งของโลกจัดอยู่ในจำพวกเทพแต่เป็นเทพที่มาชดใช้วิบากกรรมในโลกมนุษย์ดังนั้นจึงทำให้มีพวกยักษ์คนธรรพ์ครุฑนาคคอยให้ความอารักขาอีกทีหนึ่งเหล็กไหลจึงมีถิ่นกำเนิดและบารมีที่แตกต่างกันไปตามเผ่าพันธ์และวรรณะซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะและสมมุติเรียกหาเพื่อให้เห็นความแตกต่างชัดเจนขึ้นเท่านั้นเช่น

1.เหล็กไหลโกฎฐ์ปีเป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมากสีปีกแมลงทับจะออกเขียวเข้มหรือฟ้าสดใสหรือเปลี่ยนเป็นสีท้องปลาไหลเป็นเงามันวาวเนียนละเอียดเพราะถ้าเคยเห็นปีกแมลงทับคงจะสังเกตุเห็นสีสันดังกล่าวที่ประกอบไปด้วยสีสองสีสวยงามชอบอยู่ในถํ้าที่ลี้ลับลึกลับและสงบวิเวกเพื่อบำเพ็ญฌาณเหมือนฤาษีที่มีอายุยืนหมื่นๆปีมีความเย็นเหมือนนํ้าในฤดูหนาวกล่าวกันว่าเป็นเหล็กไหลที่เกิดจากมหาฤาษีในยุคต้นๆเป็นผู้สร้างไว้มีอำนาจทำลายอาถรรพณ์เวทย์ทุกชนิดให้สูญสิ้นเป็นสุญญตาใครฝังติดตัวไว้รับรองไม่มีตายโหงซํ้ายังเรียกเงินเรียกทองให้ไหลมาเนืองนองเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีมีเสน่ห์เมตตามหานิยมเข้าไปในสถานที่ใดมีแต่คนชอบรักใคร่นอกจากนี้ยังป้องกันคุณไสยที่เขาทำมาให้ตีกลับไปหาผู้ทำถึงชักดิ้นชักงอตายเอาง่ายๆชอบดูดกินนํ้าผึ้งและเล่นกับไฟล่องหนหายตัวได้ใครได้ครอบครองจะมีอายุไม่ตํ่ากว่าร้อยปีถ้าบำเพ็ญฌาณเช่นฤาษีมุณีที่ชอบบำเพ็ญธรรมอยู่ในป่าจะทำให้อายุยืนถึงหมื่นปีโกฏฐ์ปี

ภาพยนตร์มนุษย์เหล็กไหล

ภาพยนตร์มนุษย์เหล็กไหล

เป็นภาพยนตร์ที่มีแนวความเชื่อมาจาก เหล็กไหล

กำหนดฉาย 10 สิงหาคม 2549

แนวภาพยนตร์ แอ็คชั่น แฟนตาซี

อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ

ควบคุมงานสร้าง ปรัชญา ปิ่นแก้ว , สุกัญญา วงศ์สถาปัตย์

กำกับภาพยนตร์ บัณฑิต ทองดี ( เฮี้ยน , มนต์เพลงลูกทุ่งเอฟ.เอ็ม)

บทภาพยนตร์ ทรงศักดิ์ มงคลทอง , บัณฑิต ทองดี , โจ วรรณพิณ

ผู้กำกับภาพ สิทธิพงศ์ กองทอง

กำกับศิลป์ โสภณ พูลสวัสดิ์

ออกแบบงานสร้าง ดุสิต เอี่ยมอ่วม

ออกแบบคิวบู๊ ทีมพันนา ฤทธิไกร

นักแสดง “ ลูกเกด” เมทินี กิ่งโพยม, “ ปูแบล็กเฮด” อานนท์ สายแสงจันทร์, วสันต์ กันทะอู, จิณวิภา คงบัว,ดารุณี กฤตบุญญาลัย, ปริญญา เจริญผล



เรื่องย่อและเกร็ดภาพยนตร์
การนำเอาแนวคิดทางด้าน “ พุทธปรัชญาแห่งเอเชีย” และ “ เหล็กไหล” วัตถุธาตุที่เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจอันทรงอานุภาพและขุมพลังลึกลับที่เกิดจากการบ่มเพาะ และหล่อหลอมอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอันยาวนาน มาตีความใหม่ภายใต้แนวทางของภาพยนตร์แอ็คชั่นซุปเปอร์ฮีโร่แบบไทย ๆ อย่างเต็มรูปแบบครั้งแรกของเมืองไทย โดยได้ปรัชญา ปิ่นแก้ว และพันนา ฤทธิไกร ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ องค์บาก รับหน้าที่ควบคุมงานสร้างออกแบบและกำกับคิวบู๊แอ็คชั่น และกำกับภาพยนตร์โดย บัณฑิต ทองดี ที่ทำให้ “ มนต์เพลงลูกทุ่งเอฟเอ็ม” และ “ เฮี้ยน” เป็นภาพยนตร์ทำเงินที่กวาดรายได้อย่างสูงสุดของเมืองไทยมาแล้ว

ด้วยรูปแบบของภาพยนตร์ไลฟ์แอ็คชั่นที่เน้นความสมจริง ซึ่งถูกนำมาผสมผสานกับงานเทคนิคพิเศษทางด้านภาพเพื่อถ่ายทอดพลานุภาพของเหล็กไหล ทั้งในส่วนของความแข็งแกร่ง การยืดหดตัว รวมไปถึงการผสมผสานระหว่างเหล็กไหล และเลือดเนื้อในตัวร่างกายเป็นหนึ่งเดียวในตัวของ “ มนุษย์เหล็กไหล” ให้สามารถโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มได้อย่างเหนือจริง

ตามความเชื่อที่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เหล็กไหลจันทรา (ความเย็น) และเหล็กไหลสุริยัน(ความร้อน) รวมตัวกันคราใด ก็จะนำมาซึ่งขุมพลังแห่งอำนาจเอนกอนันต์ อันยากเกินกว่าสรรพวุธอื่นใดจะสามารถสยบและหยุดยั้งได้ แต่แล้วแผนการครอบครองเหล็กไหลดังกล่าวของ อุสมาห์(อานนท์ สายแสงจันทร์) หัวหน้ากลุ่มผู้ก่อการร้ายจากตะวันออกกลางหาได้เป็นอย่างที่คิดไม่ ถึงแม้ อารีน่า(เมทินี กิ่งโพยม) สมุนมือขวาของตนจะสามารถแย่งชิงเหล็กไหลจันทรา (วัชรธาตุ หรือ หยดน้ำฟ้า อันศักดิ์สิทธิ์) มาจาก พูนิมา (จินนิภา คงบัว) เทพผู้ปกป้องประจำ อารามแห่งหนึ่งในธิเบตมาได้แล้วก็ตาม แต่ในระหว่างการปล้นตัวอุสมาห์ ผู้ก่อการร้ายข้ามชาติจากเรือนจำคุ้มครองพิเศษจากทางการไทย เกิดความผิดพลาดขึ้นจนนำไปสู่การระเบิดครั้งใหญ่ในเรือนจำ จนทำให้เหล็กไหลสุริยันทิ่มแทงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของฌาณ(วสันต์ กันทะอู) นักดับเพลิงหนุ่มผู้มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ต้องตื่นตะลึงกับพลังลึกลับและฤทธานุภาพของเหล็กไหลที่อยู่ในตน

ทางเดียวที่จะไม่ให้พลังแห่งความร้อนแรงที่เกิดขึ้นจากเหล็กไหลแผดเผาเลือดเนื้อและร่างกายของฌาน คือจะต้องเรียนรู้การควบคุมสภาวะความรุ่มร้อนในอารมณ์ความรู้สึก ที่เกิดจากส่วนลึกในจิตใจของตนให้จงได้ และเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังจากเหล็กไหลที่ตอนนี้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเลือดเนื้อและร่างกาย และที่สำคัญจะต้องรับมือกับพลานุภาพของเหล็กไหลจันทรา ที่บัดนี้ถูกนำไปพัฒนาระดับขั้นของพลังเพิ่มทวีคูณขึ้นไปอีกจากกลุ่มก่อการร้ายของอุสมาห์ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการปะทะกันระหว่างพลานุภาพของเหล็กไหลทั้ง 2 ขั้วภารกิจอันยิ่งใหญ่ ที่ชายหนุ่มอย่างฌาน หรืออีกนัยหนึ่งคือ “ มนุษย์เหล็กไหล” จะต้องรับมือ



การดึงพลังงานจากแร่เหล็กไหลมาใช้ในด้านอภิญญา


การดึงพลังงานจากแร่เหล็กไหลมาใช้ในด้านอภิญญา

เหมาะสำหรับผู้ที่ฝึกมาแบบอานาปานุสสติและการเดินลมปราณจักร

ในทีนี้จะใช้เฉพาะเหล็กไหลเท่านั้น เพราะถือว่าเป็นแร่ที่มีอานุภาพมากที่สุด การดูดพลังงานจากเหล็กไหลมาใช้นี้ สามารถทำได้ง่ายๆ แค่อุปจารสมธิก็ทำได้แล้วโดยอย่างแรกผู้ที่ทำการดูดพลังจากเหล็กไหลจะต้องฝึกสมาธิแบบอานาปานุสสติหรือแบบเดินลมปราณมาก่อน จึงจะสามารถดูดพลังได้โดยง่ายปกติร่างกายมนุษย์จะเป็นตัวดูดพลังงานรอบตัวมาใช้อยู่แล้ว เช่น การหายใจ

แต่การฝึกสมาธิแบบอานาปานุสสติหรือแบบเดินลมปราณ จะทำให้เราสามารถดูดพลังงานทางผิวหนังมาใช้ได้ ซึ่งเป็นพลังงานที่ละเอียดกว่ามาก โดยจุดที่รับพลังงานได้ดีจะอยู่ที่ ปลายนิ้ว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า จุดกลางหน้าผาก ณ ที่นี้จะเน้นเฉพาะ จุดรับพลังงานทางฝ่ามือ เพราะเป็นจุดที่รับและปล่อยพลังได้ง่ายที่สุด ส่วนจุดที่กลางหน้าผาก

โดยส่วนมากจะเป็นจุดที่ไว้ใช้สำหรับรับข้อมูล การสื่อสาร การติดต่อต่างๆ เช่นโทรจิต การควบคุมสมองระยะไกล ซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังจิตระดับการสั่งการ เพราะถือว่าเป็นจุดที่ใกล้สมอง

เพื่อให้สมองได้ทำการแปลสัญญาณที่ได้รับมาและ เกิดการกระทำตอบกลับได้อย่างฉับพลันเป็นที่ทราบกันดีว่า พลังที่สามารถดูดซับจากรอบตัวมาได้นั้น เมื่อใช้ไปแล้วก็ต้องหมดไป จึงต้องมีการดูดซับซับเข้ามาเรื่อยๆ เพื่อสะสมไว้ใช้เหมือนกับการรองน้ำให้เต็มอยู่เสมอ เพราะถ้าหากพลังงานหมดย่อมส่งผลทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย หรืออย่างหนักคือถึงขั้นเสียชีวิตได้พลังงานจากเหล็กไหลจึงเป็นพลังงานที่มีความเสถียรมากที่สุดเพราะ ไม่มีวันหมด สามารถดูดพลังมาใช้ได้เรื่อยๆ

โดยตัวเหล็กไหลเองเมื่อถูกดึงพลังงานไปก็จะสร้างพลังงานเพิ่มขึ้นเองได้เรื่อยๆ ตรงกันข้ามคือเหล็กไหลจะมีพลังงานมากกว่าเดิม เพราะเหมือนเป็นการไปกระตุ้นให้เหล็กไหลเกิดการแตกตัว คือแตกพลังออกงานได้มากขึ้นเรื่อยๆ
การดูดพลังจากเหล็กไหลในไว้ในตัว
อย่างแรกให้สังเกตลมหายใจเข้าออกก่อน จนคิดว่าเราสามารถหายใจเข้าออกได้เบาในระดับหนึ่งแล้ว ทีนี้ให้สังเกตช่วงที่หายเข้าออกนั้น บริเวณมือเราทั้งสองข้างมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง (แนะนำให้ปิดพัดลมและหน้าต่างให้หมดก่อนจะได้สังเกตได้ง่ายขึ้น) อาการที่เกิดขึ้นคือสังเกตุว่า...

1. ขณะหายใจเข้าจะรู้สึกว่ามีกระแสบางอย่างดูดเข้ามาอยู่ในมือ
2. ขณะหายใจออกจะรู้สึกว่ามีกระแสบางอย่างถูกปล่อยออกไปทางฝ่ามือ
หรือจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังยืดออกและหดเข้าจากปลายนิ้วและฝ่ามือ

พูดง่ายๆ ก็คือจะรู้ได้ทางกายเนื้อเลยว่า มือเรากำลังหายใจเข้าออกอยู่พร้อมกับการหายใจเข้าออกทางจมูก แต่การหายใจเข้าออกทางฝ่ามือนี้ เป็นการดูดพลังงานรอบตัวเข้ามาและปลดปล่อยออกไป ในทษฤฏีเดียวกัน พลังของเหล็กไหลก็เช่นดียวกัน หากเรานำมาวางไว้บนฝ่ามือแล้วลองสังเกตดู จะรู้สึกได้ถึงพลังงานไฟฟ้าที่วิ่งเข้ามาตามเส้นเลือดต่างๆในช่วงที่หายใจเข้า และคายพลังงานที่ไม่ใช้ออกไป แล้วก็ดูดเข้ามาอีกเรื่อยๆแบบนี้ เพื่อดูดพลังงานมาสะสมไว้ และใช้เมื่อยามที่ต้องการ โดยจุดที่จะเอาไว้สะสมพลังงานนั้นก็มีอยู่หลายจุด แต่ตัวข้าพเจ้าเองจะรวบรวมเก็บไว้ที่ฝ่ามือมากกว่าเพราะสะดวกต่อการใช้งาน โดยพลังงานนี้สามารถใช้ในการเล่นฤทธิ์ช่วยคนและการรักษาคนก็ได้

(ถ้าสังเกตเทวดาที่มีฤทธิ์มากๆ ฝ่ามือจะมีสีแดงจัดที่บ่งบอกได้ถึงมีพลังงานจำนวนมากรวมตัวกันบริเวณฝ่ามือ)

การฝึกแบบนี้ ถ้าถามว่ามีประโยชน์ตรงไหน ก็ตอบแบบเข้าใจง่ายๆคือ สามารถดูดพลังงานใช้ได้เร็วกว่าเดิมเมื่อพลังงานของเราใกล้หมด เรียกว่ามีประโยชน์อย่างมาก เพราะการจะสะสมพลังงานด้วยตัวเองนั้นต้องอาศัยเวลาพอสมควร ไม่เหมือนกับการดูดพลังงานจากเหล็กไหลมาใช้ เพราะประหยัดเวลาและรวดเร็วกว่ามาก

เรียบเรียงโดย ๛ชมรมผู้สนใจพลังลี้ลับ๛.

การดูดพลังงานในทีนี้ คล้ายกับการขอบารมีจากสิ่งศักสิทธิ์ เมื่อเราขอบารมีไปแล้ว เราก็มีพลัง ความเป็นทิพย์ก็เพิ่ม แต่เมื่อพลังที่ขอมานั้นหมด ก็ต้องมีการขอมาใหม่เรื่อยๆ เพื่อให้ความเป็นทิพย์มีความเสถียรตลอดเวลา โดยสังเกตว่าเวลาที่เราขอบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาใช้นั้น เราจะสามารถรับได้ทางกายและใจเช่น จะมีอาการเย็นสบาย สงบ มีความสว่างไสวในจิตกว่าเดิมเป็นต้น และการขอบารมีจากสิ่งศักดิสิทธิ์จะรับทางจุดกลางหน้าผาก เพราะพลังจะวิ่งจากบนลงล่างจุดที่รับได้ง่ายที่สุดก็คือจุดบริเวณกลางหน้าผาก และบริเวณกลางกระหม่อม

แต่การดูดพลังจากเหล็กไหลเป็นการรับพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยตรง (เพราะนำมากำไว้ในมือเลย) โดยไม่ผ่านสื่อทางอากาศแต่อย่างใด ทำให้เราสามารถดูดซึมซับพลังได้ง่ายกว่า เพราะจิตมีสมาธิ มีการจดจ่อในวัตถุที่กำลังสัมผัส

***ในวิธีการดูดซึมซึบพลังนี้สามารถใช้ได้กับแร่กายสิทธิ์ทุกชนิด รวมถึงพระธาตุและวัตถุมงคล เพราะวัตถุมงคลส่วนใหญ่มักมีส่วนประกอบของแร่กายสิทธิ์ ที่นำมาเป็นส่วนผสมด้วย

บันทึกลึกลับ (ตำนานเหล็กไหล)

บันทึกลึกลับ (ตำนานเหล็กไหล) เป็นคลิปวีดีโอที่ถ่ายทอดเรื่องราวความเชื่อเกี่ยวกับเหล็กไหล ที่มีพุทธคุณในด้าน คงกะพันชาตรี ฟันแทงไม่เข้า


ตำนานเหล็กไหล ตอนที่1




ตำนานเหล็กไหล ตอนที่2




ตำนานเหล็กไหล ตอนที่3




ตำนานเหล็กไหล ตอนที่4

แร่เกาะล้าน


แร่เกาะล้าน " ท่านผู้รู้บอกว่า เป็นขี้เหล็กไหล ตระกูลหนึ่ง เป็นเหล็กไหลประเภท โครตเหล็กไหลงอกซึ่งเป็นเหล็กไหลชนิดรองลงมาต่างจากเหล็กไหลน้ำหนึ่ง เช่นเหล็กไหลโกฏิปี ,เหล็กไหลเจ้าป่าและเหล็กไหลเพลิง ที่มีอิทธิฤทธิ์มาก และเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ต้องใช้วิชาอาคมในการตัด ส่วนเหล็กไหลชั้นรอง เช่นแร่เกาะล้าน ,เหล็กไหลงอกที่เขาอึมครึมเขากะอางค์และเหล็กไหลเมืองลอง จ.แพร่ (ตับเหล็กเมืองลอง)
เหล็กไหลงอกนั้นเป็นโครตเหล็กไหลที่มีลักษณะการงอกไปมาเหมือนเม็ดไข่ปลาสีดำมันปนเขียว รูปร่างแปลกตาบางชิ้นทอสีเป็นสีรุ้งน่าอัศจรรย์ มักพบตามเพดานถ้ำ บางครั้งฝังอยู่ในดินก็มี
แม้ว่าจะเป็นเหล็กไหลชนิดรอง แต่ก็มีอานุภาพสูงเพราะเป็นของที่มีเทพยดารักษาโดยมากมักเป็นญาณของพระฤษีที่ทรงตบะแก่กล้าและมีเจ้าป่าเจ้าเขามากมาย รักษาอยู่ เหล็กไหลชนิดนี้เป็นธาตุกายสิทธฺที่สำคัญอย่างหนึ่งที่จะสามารถช่วยบรรเทาภัยพิบัติจากแม่ธาตุที่จะเกิดได้
แร่เกาะล้าน หรือขี้เหล็กไหล ตามความเชื่อของบรรดาเซียนพระ อยู่ตรงที่แร่สามารถงอกได้หรือขยายตัวให้โตขึ้นได้ หากเป็นแร่ที่อยู่ตามธรรมชาติแล้วมีการงอกที่เหมือนกับหินงอกหินย้อยทั่วไปก็ดูไม่น่าแปลก แต่ถ้านำแร่เกาะล้านมาเลี่ยมใส่กรอบพลาสติกอย่างมิดชิดแล้ว ปรากฎว่ายังสามารถขยายขนาดหรืองอกเพิ่มจนดันกรอบให้แตกออกมาได้ ถือว่าเป็นเรื่องที่มหัสจรรย์แต่ก็เป็นเรื่องจริง การที่องค์แร่เกาะล้านจะงอกจะขยายมากเท่าไรขึ้นอยู่กับคนใช้ว่าหมั่นบูชาสวดมนต์ปฏิบัติกรรมฐาน แผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนกุศลให้แก่โคตรแร่เกาะล้านก็จะงอกขึ้น
พิธีอาบแสงจันทร์ และเสพน้ำผึ้ง
********************
เหล็กไหลเสพน้ำผึ้งคือการนำน้ำผึ้งป่าบริสุทธฺมาให้เสพ โดยอาศัยแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญเป็นสื่อ เหล็กไหลจะเสพกลิ่น สี และรส ดังนั้นเราควรถวายน้ำผึ้งแก่เหล็กไหลในคืนวันเพ็ญโดยจัดในที่โล่งแจ้งให้แสงจันทร์สาดส่องมาโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง น้ำผึ้งที่เสพแล้วนั้นจะมีคุณสมบัติที่เปลี่ยนไปเช่นกลิ่นจางลง สีเข้มขึ้นหรืออ่อนลงเป็นต้น
การบุชาให้กล่าวคาถาบูชาดังนี้."พุทโธเมนาโถ ธัมโมเมนาโถ สังโฆเมนาโถ โอมสิทธิครูกูสวาโหม"
"ขอพลังอำนาจ จากธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลคุ้มครองข้าพเจ้าให้พ้นจากภัยอันตรายบนโลกธาตุนี้ด้วยเทอญ"

เหล็กไหล (ตำนานเหล็กไหล) ดีทางคงกระพันชาตรี


เหล็กไหล (ตำนานเหล็กไหล) ดีทางคงกระพันชาตรี มหาอุด

วัสดุอาถรรพณ์ที่มีชื่อเป็นที่รู้จักกันมานานก็คือ “เหล็กไหล” เป็นโลหะที่มีความยืดได้เมื่อถูกความร้อนแม้เพียงจากเทียนเล่มเล็ก ๆ เล่มเดียว เหล็กไหลเมื่อยืดออกแล้วแม้มีความเล็กสักเท่าใดก็ตาม หากใช้ของมีคมเช่น ขวานหนัก ๆ ผ่าหรือตัด ขวานนั้นก็ไม่สามารถจะแยกเหล็กไหลให้ขาดจากกันได้ เหล็กไหลจึงมีคุณานุภาพทางคงกระพันทำให้ผิวหนังเหนียว คมหอกคมดาบไม่สามารถระคายผิวหนังของผู้ที่มีเหล็กไหลนั้นได้

เหล็กไหลมีที่อยู่เป็นพิเศษ คือในดงดิบล้ำลึก พระคณาจารย์ที่แก่กล้าทางฌานสมาบัติจริง ๆ จึงจะสามารถไปนำเหล็กไหลนั้นมาได้ การเอาเหล็กไหลมาก็คงใช้ความร้อนจากเล่มเทียนเล็ก ๆ นั้นเองลนให้เหล็กไหลหยดย้อยลงมาจากเพดานของถ้ำดุจก้อนขี้ผึ้ง ครั้นเมื่อเวลาแยกเหล็กไหลให้หลุดจากกันนั้นก็ต้องตัดด้วยอาคมและสมาธิจิตของพระคณาจารย์เจ้าอันแรงกล้า จึงจะสามารถตัดหรือแยกเหล็กไหลนั้นให้ออกจากกันได้เป็นผลสำเร็จ วรรณคดีขุนช้างขุนแผนงานวรรณกรรมอมตะของไทยที่ลือเลื่องไปถึงนอกทวีป ได้กล่าวถึงแม่ทัพคนสำคัญของพระเจ้าเชียงใหม่ คือ ท้าวกรุงกาฬ และตรีเพชรกล้า ซึ่งท่านทั้งสองมีดีสมเป็นชายชาติชาตรีโดยแท้ เพราะตลอดร่างของท่านเต็มไปด้วยสิ่งอาถรรพณ์ศักดิ์สิทธิ์ อันมีเหล็กไหลเป็นวัสดุอาถรรพณ์สำคัญอยู่ด้วยดังนี้

อันแม่ทัพคนนี้มีศักดา อยู่ยงคงศาสตราวิชาดี
แขนขวาสักรงเป็นองค์นารายณ์ แขนซ้ายสักชาดเป็นราชสีห์
ขาขวาหมึกสักพยัคฆี ขาซ้ายสักหมีมีกำลัง
สักอุระรูปพระโมคคลสงฆ์ ภาควัมปิดตานั้นสักหลัง
สีข้างสักอักขระนะจังงัง ศีรษะฝังพลอยนิลเม็ดจินดา
ฝังเข็มเล่มทองไว้สองไหล่ ฝังเพชรเม็ดใหญ่ไว้แสกหน้า
ฝังก้อนเหล็กไหลไว้อุรา ข้างหลังฝังเทียนคล้าแก้วตาแมว
เป็นโปเปาฝนฝีหยิบทั้งกาย ดูเรียบลายรอยร่องเป็นถ่องแถว
แต่เกิดมาอาวุธไม่พ้องแพว ไม่มีแนวหนามขีดสักนิดเดียว

ในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยปรากฏว่าใครจะได้พบเห็นเหล็กไหล ผู้เขียนเคยรู้จักท่านเจ้าของกรุเครื่องรางของขลังขนาดใหญ่คนหนึ่ง มีพระเครื่องและเครื่องรางของขลังหลายพันชิ้น ขนาดพิพิธภัณฑ์ประจำจังหวัด เคยมีเศรษฐีพ่อค้าปากน้ำโพคนหนึ่งจะขอเหมาของทั้งหมดเป็นเงินเหยียบล้าน แต่ผู้ขายไม่ตกลงด้วยตอนที่ผู้ซื้อจะรวมเอาเหล็กไหลที่ติดตัวแกไว้ไปด้วย เหล็กไหลนั้นมีขนาดก้อนเท่าหัวแม่มือเท่านั้น ผู้ซื้อจึงไม่มีโอกาสได้จ่ายเงินจำนวนล้านเพราะเกี่ยวกันด้วยวัสดุอาถรรพณ์ที่มีน้ำหนักไม่กี่กรัม

เหล็กไหลมีลักษณะเป็นก้อนโลหะสีขาวคล้ายตะกั่วที่หล่อใหม่ ๆ มีรอยเป็นปุ่มคล้ายน้ำตาเทียนอยู่ตลอดทั้งก้อน ถ้าไม่ทราบเห็นเข้าทีแรกก็เข้าใจว่าเป็นตะกั่วหลอมนี่เอง เหล็กไหลเป็นวัสดุอาถรรพณ์ที่มีอิทธิพลมากน้อยปานใด เหล็กไหลจะมีอยู่ในโลกของเครื่องรางของขลังจริงหรือไม่ อดีตกาลของบรรพบุรุษไทยเราที่ออกสงครามด้วยดาบสู้กันประชิดด้วยคมหอกของมีคม

จนเราชั้นลูกหลานได้อิสรภาพอยู่จนทุกวันนี้นั้นเป็นรอยจารึกอยู่ในโลกของการนับถือเครื่องรางของขลังยากที่จะกระทำทางใดทางหนึ่งให้ความเลื่อมใสในเหล็กไหลหรือวัสดุอาถรรพณ์อื่น ๆ ในปัจจุบันให้หมดสิ้นไปเสียได้

พิธีกรรมอัญเชิญพญาเหล็ก


พิธีกรรมอัญเชิญพญาเหล็ก
ของ
หลวงพ่อหวล ภูริภทฺโท
วัดพุทไธศวรรย์ จ.พระนครศรีอยุธยา

ก่อนอื่นหลวงพ่อหวลจะเพ่งกระเเสจิตของท่าน สำรวจดูว่าในถ้ำเเห่งใดมีพญาเหล็กสถิตย์อยู่
เมื่อรู้เห็นในญาณทัศนะชัดเจนเเล้ว ท่านก็จะพาลูกศิษย์ของท่านเดินทางไปสำรวจให้เห็นกับตาอีกครั้ง
จากนั้นก็กำหนดฤกษ์ยาม วันเวลาที่จะทำพิธี

ท่านว่า ถ้ำที่จะมีพญาเหล็กสถิตย์อยู่นั้น ต้องเป็นถ้ำที่สะอาด ไม่มีค้างคาวมาอาศัย
โดยมากจะเป็นถ้ำหินอ่อนที่มีความเย็นสูง หรือ ถึงกับเย็นยะเยือกเมื่อเดินเข้าไปสู่ภายใน เเละเป็นถ้ำที่เเห้ง

สะอาด
นอกจากเครื่องบวงสรวงในการทำพิธีเเล้ว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับพิธีนี้คือ น้ำผึ้งเเท้บริสุทธิ์ ซึ่งจะต้องจัดเตรียมไปจำนวนมาก
อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้เช่นกันคือ ขี้ผึ้งบริสุทธิ์ ซึ่งจะต้องจัดเตรียมไปจำนวนมากเช่นกัน

การทำพิธีบวงสรวง ก็เพื่อบอกกล่าวต่อเจ้าถ้ำ เจ้าที่เจ้าทาง เทพเทวาอารักษ์ทั้งหลาย
ถึงจุดประสงค์ของการมาทำพิธีว่า จะอัญเชิญพญาเหล็กไปเพื่อประโยชน์เเก่พระพุทธศาสนาประการใดบ้าง

เมื่อทำพิธีบวงสรวงเสร็จเเล้ว หลวงพ่อหวลท่านจะกำหนดจิตอธิษฐานตามวิชาที่ท่านได้ร่ำเรียนมา
จากนั้นก็เอาขี้ผึ้งบริสุทธิ์ที่เตรียมมา ป้ายชโลมไปตรงรอยเเตกของผนังถ้ำ
พร้อมกับบริกรรมคาถากำกับไว้ตลอดเวลาจนเสร็จพิธี

หลังจากนั้นหลวงพ่อท่านได้ยืนกำหนดจิตด้วยอาการสงบ
สักพักหนึ่งบรรดาศิษย์ที่มาร่วมพิธีต่างได้พบกับเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ยิ่ง กล่าวคือ

ตรงรอยเเตกของผนังถ้ำนั้นปรากฎมีวัตถุอย่างหนึ่ง ไหลออกมากินน้ำผึ้งที่หลวงพ่อท่านได้ป้ายไว้

หลวงพ่อหวลจึงนำด้ายสายสิญจน์ ที่ชโลมไว้ด้วยน้ำผึ้งจนเปียกชุ่ม กดปลายด้านหนึ่งลงไปในช่องรอยเเตกนั้น
เเล้วโยงสายสิญจน์ที่เหลืออีกด้านหนึ่งลงไปยังบาตรน้ำมนต์ขนาดใหญ่ ที่บรรจุน้ำผึ้งเเท้บริสุทธิ์จำนวนมาก
โดยภายนอกบาตรจะถูกหุ้มไว้ด้วยขี้ผึ้ง เเละมีผ้าขาวลงอักขระยันต์ปิดปากบาตรไว้
มีเพียงรูเล็กๆที่จะเอาด้ายสายสิญจน์แหย่ลงไปได้เท่านั้น

ท่านบอกว่า บาตรน้ำมนต์ที่ต้องหุ้มไว้ด้วยขี้ผึ้งเเละบรรจุน้ำผึ้งไว้ในบาตร ก็เพื่อล่อให้พญาเหล็ก (เหล็กไหล) ลงมากิน
ส่วนผ้ายันต์สีขาวนั้น ก็เป็นยันต์กำกับป้องกันไม่ให้พญาเหล็กที่ลงมากินน้ำผึ้งในบาตร หนีกลับเข้าไปในผนังถ้ำได้อีก


พอโยงสายสิญจน์ลงสู่บาตรที่มียันต์กำกับไว้เรียบร้อยเเล้ว
ท่านก็จุดเทียนซึ่งทำเป็นพิเศษจากขี้ผึ้งเเท้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ลนเปลวเทียนไปที่ผนังถ้ำซึ่งเหล็กไหลโผล่ออกมาให้เห็น
พร้อมบริกรรมคาถากำกับไว้ตลอดเวลา ทำให้เหล็กไหลได้ไหลย้อยลงมาตามสายสิญจน์เพื่อกินน้ำผึ้งในบาตร
โดยเหล็กไหลที่ไหลลงมานั้นจะมีอยู่ ๓ สี คือ สีเมฆพัด(สีน้ำเงินอมเขียว) สีเงินยวง สีท้องปลาไหล
เเต่จะเป็นสีใดนั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของเหล็กไหลที่มีอยู่ในถ้ำเเห่งนั้น

การทำพิธีอัญเชิญพญาเหล็ก (เหล็กไหล) ของหลวงพ่อหวล ท่านจะมุ่งเน้นที่เหล็กไหลสีเมฆพัด (สีน้ำเงินอมเขียว) เเละสีเงินยวง
เพราะสองลักษณะนี้ สามารถที่จะนำมามอบให้กับผู้มาร่วมทำบุญกับท่านได้
ส่วนสีท้องปลาไหล ท่านไม่นิยมมอบให้ลูกศิษย์
ท่านว่า เหล็กไหลลักษณะนี้มีอาถรรพณ์ร้อนเเรง ผู้ที่ครอบครองจะมีความฮึกเหิม
ซึ่งอาจเป็นเหตุให้สร้างความเดือดร้อนเเก่ตนเองเเละผู้อื่นได้

หลังจากที่เหล็กไหลได้ไหลลงในบาตรจนหมดเเล้ว (ในสภาพที่เป็นของเหลว)
หลวงพ่อก็นำไปประกอบพิธีต่อไป คือ การทำให้เหล็กไหลที่เหลวนั้นเเข็งตัว
โดยการนำบาตรไปตั้งบนเตาไฟ เเล้วเอาหุ่นขี้ผึ้งเเท้บริสุทธิ์รูปทรงต่างๆ ที่ต้องการให้เหล็กไหลก่อตัวเป็นรูปทรงนั้นๆ เช่น
รูปทรงพระกริ่ง รูปทรงพระสมเด็จ ฯลฯ โดยหุ่นขี้ผึ้งนี้จะมีจะมีสายชนวนอยู่ด้านบนเเบบเดียวกับเทียนไข
สำหรับไว้จุดไฟในขณะทำพิธีหล่อหลอมเหล็กไหลให้เป็นรูปทรงตามต้องการ

เมื่อหลวงพ่อจุดไฟตรงด้ายชนวนเเล้ว ท่านก็บริกรรมคาถากำกับไปเรื่อยๆในขณะที่หุ่นขี้ผึ้งเริ่มละลายไปทีละเล็กละน้อย
เมื่อหุ่นขี้ผึ้งละลายไปจนใกล้จะหมด เหล็กไหลที่มีสภาพเหลวที่อยู่ในบาตร ก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปทรงเหมือนหุ่นขี้ผึ้งต้นเเบบอย่างน่าอัศจรรย์
โดยเหล็กไหลที่เเข็งตัวเป็นรูปทรงตามหุ่นขี้ผึ้งต้นเเบบนั้น (รูปทรงพระกริ่ง รูปทรงพระสมเด็จ ฯลฯ) จะมีขนาดเล็กกว่าหุ่นต้นเเบบ
มีลักษณะสีสันวรรณะเเปลกประหลาด สีเเวววาวเหลือบมัน

เมื่อเหล็กไหลก่อตัวเสร็จสมบูรณ์เเล้ว หลวงพ่อก็จะนำมาทำพิธีสวดญัตติ
ซึ่งเป็นพิธีกรรมในการป้องกันไม่ให้เหล็กไหลเเปรเปลี่ยนสภาพไปอยู่ในสภาพเดิม หรือ หนีกลับคืนไปยังถ้ำที่นำมาเเต่เดิม
หลังจากนั้นท่านจะทำพิธีปลุกเสกอธิษฐานจิตอีกชั้นหนึ่ง
จากนั้นจึงนำมามอบให้กับลูกศิษย์ผู้มาร่วมทำบุญอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนาต่อไป

วัตถุมงคลมวลสารธาตุกายสิทธิ์ (เหล็กไหล)


วัตถุมงคลมวลสารธาตุกายสิทธิ์ (เหล็กไหล)

๑. ธาตุเป็น วัตถุธาตุกายสิทธิ์ผสม ของ "เหล็กไหลบารมี" เเละ/หรือ "เหล็กไหลตัด"
ที่มีส่วนผสมของเเร่ที่เป็นมงคล เช่น ทองคำ เงิน สังฆวานร เพชรหน้าทั่ง รังหรือโคตรเหล็กไหล
ดินกากยายักษ์ ว่านยา สมุนไพร เเละพันธ์ไม้ที่เป็นมงคลต่างๆ เป็นต้น

หล่อหลอมขึ้น หรือสร้างขึ้นเป็นพระพุทธรูป ฯลฯ
ด้วยพิธีการเจริญภาวนา "ชำระธาตุธรรมส่วนละเอียด" ของธาตุกายสิทธิ์ ที่หลอมหรือสร้างขึ้นมานั้น
เเล้วนำเข้าสู่กระเเสธรรม เเละบรรจุพลัง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
ตามวิธีที่บูรพาจารย์ได้เคยกระทำได้ผลดี มีอานุภาพสูงมาเเล้ว


๒. เป็นธาตุกายสิทธิ์ประเภท "เหล็กไหลบารมี"
คือ หลุด (ตัด) เอง ...ออกมาจากรังหรือโคตรเหล็กไหลตามธรรมชาติ
เเล้ววิวัฒนาการบารมีธรรมสูงขึ้นๆไปตามลำดับ ได้เเก่ พญาสมิงเหล็ก เหล็กไหลตาน้ำ เหล็กไหลเพลิง ฯลฯ
ที่ได้มาด้วยบารมีธรรมของตน เเละ/หรือ ด้วยเทพเทวาเขาเปิดบารมีให้...อย่างนี้ก็มี

ประเภทนี้ มีอานุภาพเเก่ผู้มีไว้ในครอบครอง....ที่ละเอียดเเละเยือกเย็น
เเละยิ่งเป็นผู้มีศีลมีธรรม...ยิ่งเจริญดี
ถ้าอยู่กับคนดีน้อย เขาจะพยายามชักนำให้ดีขึ้น
ถ้าอยู่กับคนไม่ดีโดยสันดาน ก็จะอยู่ด้วยไม่ได้นาน


๓. เป็นธาตุกายสิทธิ์ประเภทที่ "ตัดสด" จริงๆ
โดยพระอริยเจ้า หรือ ผู้ทรงวิทยาคุณ ผู้เชิญเขาออกมาด้วยพระพุทธมนต์
หรือ เรียกบังคับเขาออกมาจากรังหรือโคตรเหล็กไหล ด้วยทั้งพระพุทธคุณ เเละทั้งเวทย์มนต์...ก็มี

ประเภทนี้มี "อานุภาพรุนเเรง"
ถ้าได้ผ่านการ "เจริญภาวนาชำระธาตุธรรม" เเละให้เข้าอยู่ใน "กระเเสธรรม" เเล้วจึงดี
เเละถ้าอยู่กับคนดี มีศีลมีธรรม ปฏิบัติธรรมเพิ่มพูนบารมีธรรมอยู่เสมอเเล้ว...ก็จะยิ่งดี
เเต่ถ้าอยู่กับคนไม่ดี คนขาดศีลขาดธรรมเเล้ว มักมีโทษ เเละไม่อยู่ด้วยนาน


ธาตุกายสิทธิ์ประเภทนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผู้ทรงศีลทรงธรรมได้ทำ หรือที่ได้สร้างขึ้นเป็นพระพุทธรูป ฯลฯ
จึงเป็น "ธาตุกายสิทธิ์ที่ให้คุณมาก" เเละ "ปลอดภัยดีที่สุด" ... เเก่ผู้มีไว้ในครอบครอง
เพราะเป็นวัตถุธาตุที่ "ผ่านกระเเสธรรมดีเเล้ว"
จึงมีเเต่จะเป็นสิริมงคลเเก่ผู้มีไว้ในครอบครองด้วยใจศรัทธาในพระรัตนตรัยเเต่ส่วนเดียว

วิธีรักษาธาตุกายสิทธิ์ให้ดีตลอด


วิธีรักษาธาตุกายสิทธิ์ให้ดีตลอด เเละ วิธีพัฒนาธาตุกายสิทธิ์ที่ร้าย...ให้กลายเป็นดี

๑. ธาตุกายสิทธิ์ (เหล็กไหล) เหล่านี้ ปรารถนาที่จะเข้าสู่กระเเสธรรม มุ่งอยู่ที่การบำเพ็ญบารมีธรรม
เพื่อเลื่อนภูมิจิตของตนเองเข้าสู่ความเป็น "พระอริยเจ้า" ถึงพระนิพพานอันเป็นอมตธรรมเป็นสำคัญ
จึงต้องอยู่กับคนดีมีศีลธรรมเท่านั้นจึงดี เเละจะให้คุณเป็นความเจริญด้วย มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ
เเละเป็นอุปการะเเก่ผู้มีไว้ในครอบครองผู้บำเพ็ญบารมีธรรม ให้ถึงความบรรลุ มรรค ผล นิพพาน...ได้สะดวก

เพราะฉะนั้น ผู้มีโอกาสได้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้
จักต้องดำรงตนอยู่เเต่ในคุณความดี เพิ่มพูนบารมีธรรม
โดยปฏิบัติ "ทานกุศล" "ศีลกุศล" "ภาวนากุศล" ให้ยิ่งๆขึ้นไป
เเละให้เขาได้มีโอกาส "อนุโมทนาบุญ" เเละ "ร่วมบำเพ็ญบารมีธรรม" ...ไปกับเราด้วย

โดยประการนั้นเเหละถูกต้องความประสงค์ของเขานัก
เเละ "กายสิทธิ์" ที่สถิตอยู่ก็จะได้ทำหน้าที่เป็น "ภาคผู้เลี้ยงพระ" ได้อย่างสมบูรณ์

๒. ถ้าเป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน หรือ เเม้ผู้เป็นนักบวช ผู้ยังไม่ชำนาญในการเจริญภาวนาชำระธาตุธรรมได้เอง
ควรมีธาตุกายสิทธิ์ประเภทที่ "ผู้รู้" หรือ "ผู้ทรงคุณวุฒิ" ท่านได้นำมาสร้างเป็นพระ หรือได้ฝังอยู่ในองค์พระ
เเละที่ผ่านการเจริญภาวนาชำระสะสางธาตุธรรม นำเข้าสู่กระเเสธรรมเเห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีเเล้ว จึงจะดี เเละ ปลอดภัยที่สุด

ธาตุกายสิทธิ์


ธาตุกายสิทธิ์ (พญาเหล็ก)
- จะช่วยให้ความคุ้มครองป้องกันสรรพอันตรายแก่ผู้มีไว้ในครอบครอง ผู้ทรงศีล ทรงธรรม
ตามสมควรแก่บุญบารมี
- ทำหน้าที่เป็นภาคผู้เลี้ยง ช่วยให้ผู้มีไว้ในครอบครอง เจริญด้วยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ
เป็นอุปการะแก่การบำเพ็ญบารมีธรรมให้ถึงนิพพานสมบัติแก่ผู้มีไว้ในครอบครอง
ผู้ประกอบคุณธรรมเพิ่มพูนบารมีธรรมได้เป็นอย่างดี

ธาตุกายสิทธิ์ประเภทดีมีคุณธรรม จะช่วยชักนำให้ผู้มีอยู่ในครอบครอง
ปฏิบัติธรรมอยู่ในคุณความดี คือ ทานกุศล ศีลกุศล และ ภาวนากุศล ให้เจริญเเก่กล้ายิ่งๆขึ้นไป
เพื่อที่จะเขาจะได้อนุโมทนาบุญ และได้มีโอกาสบำเพ็ญบารมีธรรมด้วย
จึงให้แต่คุณแก่ผู้มีไว้ในครอบครอง ผู้เป็นคนดีมีศีลมีธรรม

ส่วนธาตุกายสิทธิ์ประเภทที่ด้อยคุณธรรม ก็ปรารถนาอยู่ว่า
ผู้ที่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของจะปฏิบัติอยู่ในคุณธรรมดี เพื่อที่เขาจะได้ร่วมอนุโมทนา
และได้มีโอกาสบำเพ็ญบารมีธรรมด้วย เพื่อเลื่อนภูมิจิตใจให้สูงขึ้น
แต่ถ้าเจ้าของผู้ครอบครองเป็นคนชั่วช้า ลุแก่อำนาจกิเลส (โลภะ ราคะ โทสะ โมหะ)
ธาตุกายสิทธิ์ประเภทนี้ กลับจะให้โทษแก่ผู้ครอบครองได้ง่าย และรุนแรงด้วย

ฉะนั้น
- ของดีต้องอยู่กับคนดี จึงดีเลิศ คนไม่ดีถึงจะได้ครอบครองของดี ก็มีอยู่ได้ไม่นาน
- ส่วนคนดีได้ครอบครองของที่มีอานุภาพที่ทั้งดีและไม่ดี ก็จะมีแต่ดี ไม่มีโทษ
- แต่คนไม่ดีที่ได้ครอบครองของที่มีอานุภาพทั้งดีและไม่ดี ย่อมไม่ได้ผลดี
และยังจะชักนำกันไปในทางที่ไม่ดีอันมีโทษได้

เพราะฉะนั้นผู้มีของดี หรือ มีของที่มีอานุภาพทั้งดีและไม่ดี
จึงต้องประพฤติปฏิบัติตนอยู่แต่ในคุณความดีโดยส่วนเดียว จะประมาทมิได้ จึงจะมีแต่ดีกับดีโดยตลอด


เหตุที่มีข่าววัตถุธาตุกายสิทธิ์ /เหล็กไหล...ในปัจจุบันนี้มาก เพราะเหตุสำคัญ ๒ ประการ คือ

๑. มีการทำของเทียมขึ้นจำหน่ายให้แก่ผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยความโลภ หรือด้วยความปรารถนาลามก
๒. ในยุคปัจจุบันนี้ ประเทศไทยเป็นที่ตั้งมั่นสำคัญของพระพุทธศาสนา เป็นบ่อเกิดและที่สถิตอยู่ของผู้มีบุญบารมี ผู้บำเพ็ญบารมีธรรมเพื่อความบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันตสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า
และพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ตามระดับอธิษฐานบารมีที่ได้กระทำมาแล้วเป็นจำนวนมาก

เทพเทวาผู้สัมมาทิฏฐิ ผู้ดูแลรักษาธาตุกายสิทธิ์ภาคผู้เลี้ยง จึงเปิดบารมีธรรมแก่ผู้กำลังบำเพ็ญบุญบารมีในระดับต่างๆ ให้ได้รับธาตุกายสิทธิ์ ภาคผู้เลี้ยงที่มีอยู่ในโลก ในจักรวาล เพื่อเป็นอุปการะแก่การบำเพ็ญบารมีธรรมให้ยิ่งขึ้นไปได้สะดวก และเพื่อช่วยกันสืบบวรพระพุทธศาสนาในประเทศไทยนี้ ให้เจริญรุ่งเรืองและมั่นคงยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่ออำนวยประโยชน์สุขและความสันติสุขแก่สาธุชนหมู่ใหญ่ ทั้งแก่ชาวไทยและชาวโลก ให้ได้มากที่สุดเป็นสำคัญ

เหตุนั้นแท้ที่จริงแล้ว ธาตุกายสิทธิ์นี้จึงได้มีการใช้กันอยู่แล้ว ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม และศิษยานุศิษย์
ตลอดทั้งผู้ปกครอง ผู้กอบกู้ และผู้รักษาประเทศชาติบ้านเมืองไทยเรามาแต่โบราณกาลแล้ว
เพียงแต่ไม่มีสื่อมวลชนกระจายข่าวกันมาก และไม่มีการทำของเทียม (ปลอม) หลอกลวงจำหน่ายกันมากขึ้น ดังเช่นทุกวันนี้เท่านั้น

วัตถุธาตุกายสิทธิ์


วัตถุธาตุกายสิทธิ์ (พญาเหล็ก) นี้
เกิดมีขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจของพวกฤาษีผู้มี ฌาน (สมาธิระดับสูง) และ อภิญญา (ความสามารถพิเศษ)
แก่กล้าในระหว่างอันตรกัป คือ ในระหว่างที่ว่างจากพระพุทธศาสนาเป็นระยะเวลายาวนานนั้น
บรรดามนุษย์ผู้มีบุญ คือ คุณธรรมจากการที่ได้เคยรักษาศีล และเจริญภาวนาสมาธิมาก่อน ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในยุคนั้น ได้ออกบำเพ็ญพรต (ถือศีล) พรหมจรรย์ (การออกบวชเว้นเมถุน-คือเว้นชีวิตคู่)
ด้วยมุ่งหวัง “อมตธรรม” ก็คือ ปรารถนาพระนิพพานที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ และที่เป็นบรมสุขนั้นแหละ

แต่ไม่รู้จักทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ให้ถึงอมตมหานฤพานได้ เพราะยังไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้
จึงได้แต่เจริญสมาธิภาวนา จนได้ฌานและอภิญญาแก่กล้า
แต่ก็รู้ว่าตนเองนั้นยังไม่อาจพ้นความตายได้ ยังไม่เห็นทางที่จะถึงอมตธรรมที่ไม่ตายได้
ก็ปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ยั่งยืนที่สุด ดุจว่าเป็นอมตธรรม
เพื่อรอผู้ตรัสรู้ (พระพุทธเจ้า) มาตรัสสอนทางปฏิบัติให้ได้บรรลุถึงอมตธรรม
เพื่อจักได้เข้าสู่กระแสธรรม นำไปให้ถึงอมตธรรมตามที่ได้มุ่งหวัง
จึงค้นหาวิธีสร้าง "วัตถุธาตุอันเป็นที่สถิตแห่งจิตวิญญาณของตน" ให้คงทนยั่งยืนที่สุด
ดุจว่าเป็นอมตธรรมนั้นด้วยฤทธิ์อำนาจของตน ก่อนเบญจขันธ์ของตนจะแตกทำลาย (ก่อนทำกาละ/ตาย)

ครั้นพากันทำวัตถุธาตุนั้นขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจของพวกตนที่แก่กล้ารุนแรง
จนเกินอำนาจการควบคุมให้อยู่ในสภาวะพอเหมาะตามต้องการได้
วัตถุที่ปรุงขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจนั้นก็ระเบิดเป็นจุณ วิจุณ
เป็นอณูธาตุ เป็นที่สถิตอยู่ของจิตวิญญาณฤาษีนั้นเองด้วย และกายสิทธิ์ภาคผู้เลี้ยงด้วย
และแม้เทพเทวาที่รู้คุณวิเศษของวัตถุธาตุเช่นนั้น ก็ติดตามครอบครองยึดถือเป็นเจ้าของ

อณูธาตุเหล่านั้นมีทั้งที่กระจัดกระจายออกนอกแนวแรงดึงดูดของโลก คือ หลุดออกไปนอกโลก
และทั้งที่กระจัดกระจายไปในบรรยากาศของโลก แล้วตกลงสู่พื้นดิน
และวิวัฒนาการไปตามธรรมชาติ ตลอดระยะเวลายาวนานหลายกัปหลายกัลป์มาจนถึงปัจจุบันนี้

จึงมีสภาพ ลักษณะ และอานุภาพที่แตกต่างกันไปตามธรรมชาติที่แวดล้อม เป็นอยู่
และเปลี่ยนแปลงไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ คือ
ความเป็นสภาพไม่เที่ยง (อนิจฺจํ)
ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย เป็นทุกข์ (ทุกฺขํ) คือทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้นาน
จนถึงเป็น อนตฺตา ได้ในที่สุด

ครั้นเมื่อมาถึงยุคปัจจุบันนี้
จึงอาจมีอานุภาพตามคุณลักษณะของธาตุธรรมที่จะเป็นฝ่ายพระ (ฝ่ายบุญกุศล) ล้วนๆ
ที่จะให้สุขสมบัติแก่ผู้มีอยู่ในครอบครองแต่ถ่ายเดียว

หรือว่าจะมีอานุภาพตามลักษณะของธาตุธรรมเป็นฝ่ายมาร (ฝ่ายบาปอกุศล) ล้วนๆ
ที่จะให้ทุกข์สมบัติ แก่ผู้มีไว้ในครอบครองแต่ถ่ายเดียว
และ/หรือจะมีลักษณะของธาตุธรรม 2 ฝ่าย ปะปนกัน
ที่อาจให้ทั้งสุขสมบัติแก่ผู้ประพฤติปฏิบัติดี มีศีลมีธรรม
และ ที่ให้ทั้งทุกข์สมบัติแก่ผู้ประพฤติปฏิบัติชั่ว ทุศีล ขาดหิริโอตตัปปะ และ ไร้คุณธรรม
ได้ตามส่วนของเขา และตามระดับคุณธรรมของผู้มีไว้ในครอบครอง

อณูธาตุอันเป็นที่สถิตอยู่ของจิตวิญญาณธาตุของฤาษี ที่ปรารถนาดำรงคงทนยั่งยืนที่สุดดุจอมตธรรม
จึงต้องเสพ หรือ ดูดซึมสิ่งที่อยู่แวดล้อมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงอณูธาตุนั้น ให้ดำรงคงอยู่คู่กับเบญจขันธ์ของตน เช่น
- ในบริเวณบางแห่งที่มีแร่ธาตุประเภทอัญมณีมาก ก็จะวิวัฒนาการเป็นวัตถุธาตุที่เหมือนอัญมณีสีต่าง ๆ ได้
- บริเวณที่มีทั้งแร่ธาตุ ดินกากยายักษ์ หิน และทั้งว่านยาสมุนไพรที่วิเศษต่าง ๆ
ที่เหมาะแก่การรักษาธาตุขันธ์ของเขา ก็จะเสพหรือดูดซึมเข้าไปปรุง หล่อเลี้ยงธาตุขันธ์ของเขา
จึงวิวัฒนาการมาเป็นวัตถุธาตุกึ่งอัญมณี-หิน-เหล็ก รวมกัน แต่ไม่ดูดเหล็ก

กล่าวโดยส่วนใหญ่แล้วมีส่วนผสมของแร่เหล็กเป็นตัวยืน
ที่เมื่อถูกเชิญ หรือถูกบังคับเรียกออกมาจากรังด้วยเวทมนตร์ของผู้ทรงวิทยาคม
ก็จะไหล หรือ ย้อยหยดลงมาในสภาพเป็นของเหลว
หรือ ยืดออกมาในสภาพเป็นของอ่อนนิ่มก่อน จึงชื่อว่า “เหล็กไหล”
เมื่อมากระทบกับอากาศเย็น หรือ น้ำพระพุทธมนต์ที่รองรับไว้
ก็จะกลับแข็งตัวเหมือนโลหะเหล็ก หรืออัญมณีที่แข็งเหมือนเหล็ก

นอกจากนั้น วัตถุธาตุกายสิทธิ์นี้ยังขยายขนาดและขยายเผ่าพันธุ์ มีสมาชิกทั้งแก่และอ่อนสถิตอยู่ร่วมกันในรัง
ดุจดังว่าเป็นอาณาจักรของเขา เรียกว่า “รังเหล็กไหล” หรือ “โคตรเหล็กไหล”

กรณีที่ธาตุกายสิทธิ์ถูกผู้มีอำนาจสิทธิเหนือกว่า เช่น
ผู้เป็นพระอริยเจ้าเชิญออกมา หรือ ผู้ทรงวิทยาคมเรียกบังคับให้ออกมาจากรัง...จนหมดทั้งรัง
รัง หรือ โคตรเหล็กไหลนั้น บางท่านเรียกว่า "มูล หรือ ขี้เหล็กไหล"
เเต่ มูล หรือ ขี้เหล็กไหลจริงๆ มีอยู่อีกต่างหาก

ธาตุกายสิทธิ์ที่ถูกเชิญ หรือ เรียกบังคับออกมานี้ ชื่อว่า "เหล็กไหลตัด"
เหล็กไหลประเภทนี้ มีกัมมันตภาพรังสีอยู่ด้วยมาก
ประเภทนี้มีฤทธิ์อำนาจมาก มีอานุภาพร้อนเเรง
จึงมีทั้งคุณอนันต์เเก่คนดีมีศีลมีธรรม เเละเป็นโทษมหันต์เเก่ผู้ทุศีล หรือขาดคุณธรรมได้



รัง หรือ โคตรเหล็กไหล ที่มีสมาชิกธาตุกายสิทธิ์สถิตอยู่มากมายนั้น
นานปีนับร้อย - พัน - หมื่น - เเสน - ล้าน - โกฏปี
ย่อมได้รับความกระทบกระเทือนจากปัจจัยเเวดล้อมตามธรรมชาติ ได้เเก่
เเดด ลม ฝน เเผ่นดินไหว น้ำไหลเซาะ ฯลฯ เป็นต้น
บางส่วนก็เเตกหลุดออกจากรังเดิมไปตามธรรมชาติ
ถูกกระเเสน้ำกระเเสลม...ซัดพัดพาไปติดอยู่ ณ ที่ใดที่เหมาะสม ก็ขยายเผ่าพันธุ์ ณ ที่นั้นต่อๆไปอีก

ชื่อว่า "พญาสมิงเหล็ก" ก็มี / "เหล็กไหลเจ้าป่า" ก็มี / "หล็กไหลโกฏปี" ก็มี
เเละสมาชิกที่วิวัฒนาการเป็นธาตุกายสิทธิ์ ที่เคยอาศัยอยู่ในรังน้อยใหญ่
ก็หลุดจากรังเดิมต่อๆไปอีก ถูกกระเเสน้ำพัดพาไปอยู่ตามถ้ำ ตามเเอ่งน้ำ
บนภูเขา หรือออกจากถ้ำ / ภูเขา ไปอยู่ตามเชิงเขาเเละตามพื้นดินภายนอกก็มี
ที่อยู่ตามน้ำ เรียกว่า "เหล็กไหลตาน้ำ" หรือ "เหล็กหลบ" ก็มี
เเละที่อยู่ตามพื้นดินภายนอก ถูกเเดดเเผดเผาจนเป็นสีน้ำตาลอมส้ม เรียกว่า "เหล็กไหลเพลิง" ก็มี ฯลฯ

วัตถุธาตุกายสิทธิ์ที่ตัดเอง (หลุดออกมาเอง) โดยธรรมชาติ
ทั้งหมดเหล่านี้จึงรวมเรียกว่า "เหล็กไหลบารมี"

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

พิธีตัดเหล็กไหล





เหล็กไหล คือ ธาตุอย่างหนึ่งที่ปรากฏในบรรยากาศรอบๆ ตัวเรา (อนูมูลทิพย์หรือไอทิพย์) ธาตุเหล่านี้ถูกนำมาควบแน่นหรือกลั่นตัวด้วยกระบวนการพิธีกรรม คือ ต้องใช้ผู้มีพลังจิตรสูง และทรงวิทยานิคม เรียกด้วยวิชา ก็จะไหลยืดย้อยลงมาเสพน้ำผึ้งได้ เชื่อว่าเหล็กไหลมีธาตุขันธ์ มีชีวิต มีจิตวิญญาณ มีบริวานคอยอารักขาหลายชั้น และที่เชื่อว่าโลหะมีชีวิตในทางไสยศาสตร์นั้นก็มีเพียงสองชนิดเท่านั้นก็คือ เหล็กไหลที่ว่านี่ และปรอท ส่วนอีกธาตุหนึ่งที่ถือว่ามีจิตมีชีวิต เเต่ไม่ใช่โลหะก็คือ "แก้ว" หรือเรียกว่า "ธาตุสำเร็จ" โดยทั้งสองสิ่งนั้นเป็นยอดปรารถนาของคนที่เชื่อเรื่องคาถาอาคมว่าหากครอบ ครองสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็จะเหนือมนุษย์ไม่มีผู้ใดทำอันตรายได้ (แต่ที่เห็นก็ตายลงหลุมเกือบทุกคนเพราะ เป็นกฏธรรมชาติ) การที่ว่ามีชีวิตของ "เหล็กไหล" หรือ "ปรอท" ก็เพราะทั้งสองสิ่งนั้นเคลื่อนที่ไปมาได้เอง (เรียกว่าเดินหน) และมีการเสพบางสิ่งบางอย่างซึ่งปรอทนั้นจะเสพโลหิตและของเน่าเสีย แต่ปรอทบางชนิดจะเสพไอดิน ไอฟ้า และไอตัวจากบุคคลบางประเภทส่วนเหล็กไหลนั้นเชื่อว่า เสพไอหอมของเกษรดอกไม้ โดยจะเสพโดยตรง และบางคณะเชื่อว่าอาจเสพจากดินบางประเภทที่เรียกว่า "ดินกากยายักษ์" ที่เป็นเศษของสมุนไพร โดยมีว่านชนิดหนึ่งที่เป็นของคู่กันหากนำมารวมกันก็จะต่างเพิ่มอำนาจแก่กัน อีกมาก ว่านนี้ก็คือว่านไพรดำ และที่รู้จักกันดีก็คือ "น้ำผึ้ง" และยิ่งเป็นน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งหลวงที่ขึ้นบนยอดผาสูงโดดเดี่ยว และหากมีคดผึ้งในรังผึ้งนั้นก็ยิ่งเชื่อว่าจะเสริมอานุภาพให้เหล็กไหลศักดิ์ สิทธิ์เป­็นทวีคูณ โดยนักไสยเวทหลายท่านเชื่อว่ามีเหล็กไหลบางประเภทที่บ่มตัวสามารถเสพไอดินไอ ฟ้า และง้วนผึ้งก็จะมีอำนาจมากจนอาคมไม่สามารถผูกอยู่ได้เเต่อย่างใดต้องเชิญ ด้วยจิตเท่า­นั้น ลักษณะของเหล็กไหลนั้นเทียบเคียงกับธาตุวิทยาศาสตร์ที่ชื่อว่าทอร์เรียม(Thorium)

การตัดเหล็กไหล

การตัดเหล็กไหลการตัดเหล็กไหล
เหล็กไหลตัดคือเหล็กไหลประเภท “ธาตุสาเร็จ” ที่กระจัดกระจายอยู่ในส่วนต่างๆตามป่าเขาลำเนาไพรที่สามารถไหลไปตามส่วนต่างๆของซอกถํ้าซอกเขาเกิดจากเทพพรหมในระดับ “รูปพรหม” อาศัยเป็นก้อนธาตุในรูปทรงแบบต่างๆลักษณะแกร่งพอสมควรอาศัยธาตุเหล็กเป็น ธาตุหลักสีออกค่อนข้างเขียวจนถึงสีปีกแมงทับขาวเงินยวงหรือหลายสีในก้อน เดียวกันรูปทรงเป็นไปตามที่เทพปรารถนาสีสันแตกต่างกันไปเนื้อค่อนข้างมัน วาวสามารถยืดได้หดได้และลื่นไหลแทรกไปในวัตถุแข็งทึบได้แต่ไม่สามารถล่องหน ไปในอากาศได้ด้วยตนเองต้องอาศัยผู้ที่มีวิชาอาคมเรียกเอาหรือติดต่อกับผู้ ที่เฝ้ารักษาอยู่คือเทพนาคราชคนธรรพ์อสูรยักษ์ฤาษีเป็นต้นเมื่อผู้เฝ้ารักษา ยินยอมให้แล้วผู้มีวิชาอาคมจึงใช้วิชาตัดเอาเรียกเอา

พิธีกรรมตัดเหล็กไหล
การตัดเหล็กไหลเป็นพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาลอุปกรณ์ที่จะใช้ ประกอบพิธีกรรมจึงอาจจะมีสิ่งแตกต่างกันไปตามบุรพาจารย์ผู้กำหนดเพราะส่วน สำคัญในการตัดเหล็กไหลบางอาจารย์ก็ใช้หวายผูกลูกนิมิตใบตาลเส้นผมสาวพรหมจา รีย์ขวานเทียนเข้าพรรษาประจำเดือนของทารกแรกเกิดเป็นต้น
ผู้จะทำพิธีตัดเหล็กไหลต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมประพฤติปฏิบัติรักษาศีล ได้มั่นคงไม่มี่จิตละโมบคือต้องขออนุญาตจากเทพผู้ดูแลรักษาเสียก่อนเมื่อได้ รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอามิฉะนั้นหากเราขืนด้วยกำลังหมายแย่งชิงเอาโดย พละการถือดีในพระเวทย์ก็อาจมีเพทภัยถึงแก่ชีวิตหรือเกิดความขัดแย้งในหมู่ คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง
พิธีกรรมในที่นี้จึงเป็นเพียงแนวทางสำหรับผู้สนใจในพระเวทย์เพื่อใช้ใน การนี้โดยเฉพาะขอให้ท่านได้ลองพิจารณาศึกษาดูเพราะโอกาสจะเรียนรู้ในเรื่อง ราวเหล่านี้จากครูบุรพาจารย์ผู้รู้นั้นหายาก
อุปกรณ์ในการตัดเหล็กไหลการตัดเหล็กไหล
1.สายสิญจ์จากปากหลุมลูกนิมิตร
2.ไม้ตาขอ9อันใหญ่พิเศษ1อัน
3.มีดหมอลงอาคมเพื่อใช้ตัดเหล็กไหล
4.นํ้าผึ้งป่า
5.คาถาเรียกเหล็กไหล
6.คาถาผูกเหล็กไหล
7.คาถาตัดเหล็กไหล
8.คาถาอัญเชิญเหล็กไหล
เครื่องบวงสรวง
1.บายศรีเทพบายศรีพรหมอย่างละ1คู่สำหรับตั้งศาลเอก
2.ฉัตรเงินฉัตรทอง9ชั้น4ทิศ
3.ตั้งศาลเอก1ศาลศาลเพียงตา4ทิศ
4.ผลไม้7อย่างทั้ง4ศาล
5.อาหารเจพร้อมผลไม้ชุดใหญ่หน้าศาลเอกพร้อมบายศรี
6.บายศรีตองตั้งที่ศาลเพียงตาแห่งละ1คู่
7.เครื่องกระยาบวชข้าวตอกดอกไม้
8.อาหาร คาวหวานเช่นหัวหมูเป็ดไก่ปลาเนื้อมะพร้าวอ่อน1คู่กล้วยํ้าว้า1คู่ขนมต้มแดง- ตัมขาวถั่วชนิดต่างๆงาดำงาขาวขนมผลไม้เหล้าขาวเหล้าแดงหมากพลูบุหรี่สำหรับ เทวดาที่ถือศีล5ที่ยังชอบเหล้ายาปลาปิ้งของสดของคาวจัดแยกไว้ที่หน้าศาลเอก อีกโต๊ะต่างหาก
เมื่อถึงเวลาก็จุดธูป๙ดอกเทียนขี้ผึ้งแท้สีขาว๙เล่ม
ตั้งนะโม๓จบ
กล่าวสัคเคฯชุมนุมเทวดา
จบแล้วต่อด้วยบทสวดดังนี้
สัพเพธัมมานาลังอภินิเวสายะ๓จบ
เอกายะโนอะยังภิกขเวมัคโคสัตตานังวิสุทธิยา

โองการบวงสรวง
***ข้าแต่เทพยดาผู้มีความเป็นทิพย์มีฤทธานุภาพเหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลาย ตลอดจนพระภูมิเจ้าที่ณบริเวณนี้และบริเวณใกล้เคียงตลอดจนเจ้าป่าเจ้าเขาภูมิ เทวดารุกขเทวดาท่านผู้เป็นหัวหน้าพร้อมบริวารข้าพเจ้าขอเชิญทุกท่านมารับ เครื่องเซ่นสังเวยอาหารคาวหวานขอเชิญท่านทั้งหลายรับประทานได้ตามอัธยาศัยขอ เทพยาดาทั้งหลายที่ข้าพเจ้าออกนามมาข้างต้นและมิได้ออกนามเพราะรู้เท่าไม่ ถึงการณ์ได้เมตตาแก่ข้าพเจ้าอวยชัยให้พรแก่ข้าพเจ้าขอให้ข้าพเจ้ามีแต่ความ สุขความเจริญทำกิจการงานใดขอให้สำเร็จตามที่ใจมุ่งหมายพร้อมกันนี้ข้าพเจ้า และคณะขอชมบารมีเหล็กไหลและขออนุญาตอันเชิญเหล็กไหลไปสักการะบูชาเพื่อเป็น ศิริมงคลแก่ตัวข้าพเจ้าและครอบครัวสักระยะหนึ่งในอนาคตถ้าเหล็กไหลก้อนนี้จะ ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติทำประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาทำประโยชน์ให้แก่ มนุษย์ด้วยกันข้าพเจ้าจะนำไปให้เขาบูชาเมื่อสมปรารถนาแล้วเงินที่ได้มานั้น ข้าพเจ้าจะทำประโยชน์แก่ชาติและเพื่อนมนุษย์40%ทำประโยชน์ในพระพุทธศาสนา40% อีก20%ขอไว้ใช้เป็นส่วนตัว
หากข้าพเจ้าทรยศคดโกงไม่ทำตามสัจจะสาบานไว้ขอเทวดาและดวงวิญญาณรวมทั้ง บริวารของท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายจงลงโทษข้าพเจ้าให้พบกับความวินาศดับศูนย์ ล่มจมถึงแก่ชีวิต***
การที่จะต้องให้สัจจะสาบานแบ่งผลประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนา มากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวก็เพื่อให้เจ้าของเหล็กไหลหรือผู้ดูแลเหล็กไหลก้อน นั้นมีใจเมตตายอมมอบให้กับคณะผู้ค้นหาเพราะอาจจะเห็นว่าจะดูแลไว้ก็ไม่ได้ ประโยชน์อะไรถ้าให้คนเหล่านี้ได้ไปและขายได้ก็จะได้บุญจากคณะค้นหาที่สาบาน ไว้จะทำบุญ 80% จึงทำให้เทพผู้รักษานั้นไม่หวงสมบัติหรือเสียดายอย่างไรเพราะอยากได้บุญ
แต่ถ้าเทพผู้รักษาตรวจดูด้วยฌาณและมองเห็นว่าในอนาคตคณะค้นหาจะเกิดความ โลภไม่ทำตามสัจจะที่ให้ไว้เพื่อไม่ให้เป็นบาปกรรมที่ต้องฆ่าคนท่านก็อาจจะ ไม่มอบเหล็กไหลให้ก็ได้เพราะท่านเหล่านี้ย่อมมีอำนาจที่จะพาของเหล่านี้ ล่องหนหรือซุกซ่อนหาที่ใหม่ได้หรืออาจจะกำบังตาก็ได้
ด้วยเหตุนี้ผู้มีวิชาอาคมที่มีพลังจิตแก่กล้าบางครั้งก็จะถือโอกาสเข้า แย่งชิงด้วยความโลภเพียงว่าใครจะเก่งกว่ากันระหว่างเทพหรือวิญญาณผู้รักษา เหล็กไหลหรือเจ้าของเหล็กไหลนั้นจะอนุญาตหรือไม่ก็ต้องทำการเสี่ยงทายกัน ด้วยไหวพริบปฏิญาณอีกครั้งโดยอธิษฐานกล่าวออกมาดังๆว่า
"ข้าพเจ้านาย.......นามสกุล.........ขอเหล็กไหลที่อาศัยอยู่ในก้อนหินนี้ ถ้าท่านผู้เป็นเจ้าของเหล็กไหลก้อนนี้หรือท่านผู้ดูแลเหล็กไหลก้อนนี้อนุญาต ให้แก่ข้าพเจ้าขอให้ได้ยินเสียงว่าให้(เว้นระยะนิดหนึ่งแล้วพูดว่า"ให้") เป็นการพูดเองเออเองวิธีนี้ตามตาราไสยศาสตร์โบราณนิยมใช้กันมากเพราะถือ เคล็ดที่ว่าถ้าหูเราได้ยินบอกว่า"ให้"ก็ถือว่าใช้ได้แสดงว่าเจ้าของอนุญาต แล้ว
วิธีล้อมวงสายสิญจน์ป้องกันอันตราย
เมื่อตั้งใจจะเรียก"เหล็กไหล"ออกมาจากก้อนหินก็ต้องป้องกันตนเองจาก อันตรายต่างๆเสียก่อนเพราะภัยจากเจ้าของผู้ดูแลเหล็กไหลบริวารหรือวิญญาณที่ เป็นมิจฉาทิฏฐิมาแกล้งทำลายพิธีกรรมซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เพราะ ฉะนั้นเครื่องลางของขลังที่มีอยู่ก็ต้องพกติดตัวไว้เสมอ
การวงสายสิญจน์นั้นเมื่อพบเห็นจุดที่สงสัยว่ามีเหล็กไหลอยู่ก็ต้องวงสาย สิญจน์ล้อมรอบก้อนหินนั้นให้ห่างจากตัวเราหรือตัวเราหรือหมู่คณะประมาณ1วาวง ล้อมจะเล็กหรือใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนคนหรือคณะที่มาถ้ามาเพียงคนเดียวไม้ หลักที่จะปักผูกสายสิญจน์ก็น้อยวงก็เล็กถ้าคณะใหญ่มากก็ต้องวงสายสิญจน์ให้ กว้างพอกับคณะที่มา

อุปกรณ์ในการล้อมวงสายสิญจน์
1.สายสิญจน์จากปากหลุมลูกนิมิตรใช้สำหรับผูกเหล็กไหล
2.ไม้ตาขอ9อัน หรือ19อันให้ใช้ไม้ในป่าแถวนั้นแต่ถ้าให้เลือกไม้ที่มีรูปตาขอหรือลักษณะ คล้ายตาขอเพื่อเอาเคล็ดว่า"ขอนะขอเถอะขอแล้วขอครับขอค่ะขอเล็กขอน้อยขอมากขอ หมด"รวม9ขอสำหรับขอที่10เป็นไม้ขอพิเศษที่มีขนาดใหญ่กว่าทุกอันและให้เลือก เนื้อไม้ที่แข็งกว่าทุกอันนำมาเขียนอักษรขอมหรือพระคาถาลงไปเป็นคำ ว่า"เหลือ"เขียนเสร็จแล้วจะต้องปลุกเสกด้วยคาถาชูชกดังนี้

"นะโม3จบ"
"ปะกาเสนโตตาชูชกคนโซขอใครไม่ได้ต้องให้กอขอขอ"


ตาขอ พิเศษอันนี้ให้พกติดตัวตอนทำพิธีเป็นเคล็ดว่า"เหลือขอ"เพราะคำว่าเหลือขอนี้ คงจะมีความหมายว่า"ลูกเหลือขอ"พ่อแม่ก็ส่ายหน้าครูบาอาจารย์ก็ส่ายหน้าด้วย เอาไว้ไม่อยู่มันเหลือขอจริงๆ
ช้างที่ว่าตัวใหญ่ที่สุดในโลกของประเภทสัตว์บกแต่ก็แพ้ตะขอหรือตาขอของ ควายช้างที่สับลงบนหัวแต่บางครั้งช้างมันก็รั้นและดื้อเอาการเอาตาขอสับ เท่าใดก็ไม่ยอมอยู่ในคำสั่งไม่ยอมทำตามควาญช้างสั่งก็เรียกว่า"เหลือ ขอ"เหมือนกันและที่สำคัญไม้เหลือขอนี้ยังเสกด้วยพระคาถานักขอเอกของชูชกอีก ด้วยดังนั้นจะขออะไรใครก็คงจะสำเร็จง่ายดาย
ดังนั้นการทำพิธีไม้เหลือขอนี้เพื่อว่าใครๆก็ส่ายหน้าไม่อยากยุ่งเกี่ยว วิญญาณทั้งหลายก็รั้งเราไว้ไม่อยู่เสร็จแล้วนํ้าตาขอทั้ง9อันมาปักในดินตอน ปักต้องท่องคาถากำกับไปด้วยแล้วจึงนำด้ายสายสิญจน์มาล้อมผูกบนไม้ตาขอเพื่อ ป้องกันไม่ให้สายสิญจน์ตกดินเพราะสายสิญจน์เปรียบเหมือนกำแพงบ้านกำแพงเมือง ต้องอยู่กว่าพื้นดินถ้านั่งให้อยุ่ในระดับศรีษะ
ขณะที่ปักไม้หลักตาขอให้สวดบริกรรมดังนี้
"พุทโธพุทธะโอมเมอะมะอุปักดวงจิตดวงใจไว้กับแม่พระธรณีลูกฝากหลักชัยคุ้ม ภัยให้ลูกหมู่มารมาเป็นแสนแม่ยังช่วยให้พุทธพ้นภัยทาสีเนปะวิขะสะอะเมอุอัน เชิญแม่พระธรณีมารักษาลูก"
ขณะนำด้ายสายสิญจน์มาผูกกับหลักก็ให้บริกรรมพระคาถาอีกบทหนึ่งดังนี้

"พุทผูกธะมัดสังรัดมิตรึง"
"พุทธังประสิทธิเมธัมมังประสิทธิเมสังฆังประสิทธิเม"
ผูกสายสิญจน์ล้อมเป็นวงกลมเวียนขวาหรือเวียนตามเข็มนาฬิกา
ขณะล้อมสายสิญจน์ก็ให้สวดพระคาถาอีกบทหนึ่งดังนี้
"พุทโธพุทธังนะกันตังอะระหังพุทโธ
ธัมโมธัมมังนะกันตังอะระหังธัมโม
สังโฆสังฆังนะกันตังอะระหังสังโฆ
นะโมพุทธายะนะมะพะทะจะภะกะสะพามานาอุกะสะนะทุ
พุทธะกันนะธัมมะกันนะสังฆะกันนะ"

#อิมัสมิงมงคลจักวาฬทั้ง8ทิศพุทธะประสิทธิเป็นกาแพงแก้ว7ชั้นป้องกันล้อม รอบขอบมณฑลอิระชาคะตะระสากายาดูแลรักษาด้วยธัมมังประสิทธิ์สังฆังประสิทธิ

#นะโมนะมัดกาจัดออกไปศัตรูทั้งหลายอย่าใกล้เสมามณฑล(พระคาถาท่อนท้ายนี้สมเด็จย่าของปวงชนชาวไทยทรงท่องเป็นประจำ)

ผู้ทำพิธีควรนุ่งขาวห่มขาวรักษาศีลให้บริสุทธิ์ต่อหน้าพระพุทธรูปหรือ เครื่องรางของขลังที่นำมาเพราะเมื่อล้อมวงสายสิญจน์เรียบร้อยแล้วก็สวดมนต์ เจริญภาวนานั่งกรรมฐานเพิ่มพลังจิตให้เข้มแข็งก่อนที่จะทำพิธีหาเหล็กไหลกัน ต่อไปเพราะอย่างน้อยจิตต้องทรงในระดับอุปจารสมาธิซึ่งเป็นสมาธิระดับเกือบ ปฐมญาณซึ่งพอจะสัมผัสรับรู้หรือเห็นนิมิตต่างๆได้ระดับหนึ่งแต่อาจทรงอยู่ ไม่นานนัก

เมื่อจิตสงบดีแล้วก็กำหนดให้เห็นภาพเหล็กไหลหรือของขลังที่อยู่นั้น เคลื่อนตัวออกมาถ้าเป็นเหล็กไหลให้ใช้เทียนชัยหนัก9บาทเป็นเทียนที่ทำจากขี้ ผึ้งแท้ไม่ใช่ทำจากไขมันวัวหรือควายเพราะไขมันสัตว์ถือเป็นของตํ่านอกจากรัง ผึ้งเท่านั้นที่ถือว่าเป็นของสูงยิ่งไขมันนํ้ามันจากตัวเหี้ยห้ามนำมาใช้ทำ พิธีเด็ดขาดเพราะถ้างานมงคลใดถ้าใช้เทียนที่ทำจากตัวเหี้ยแล้วในคัมภีร์สมุด ข่อยโบราณกล่าวไว้ว่านํ้ามันเหี้ยไขมันเหี้ยใช้ล้างอาถรรพ์ไสยศาสตร์ของฝ่าย ตรงข้ามฉะนั้นเวลาทำเทียนชัยอย่าได้เอาของใครเป็นอันขาดต้องทำด้วยตนเอง เพราะถ้ามีคนอิจฉาหรือต้องการทำลายพิธีหรือแย่งผลประโยชน์กันพิธีกรรมที่ เตรียมไว้ก็จะถูกทำลายหรือฝ่ายตรงข้ามส่งคนแทรกซึมมาช่วยจัดหาเทียนชัยไว้ก็ จะถูกลงอาคมคัดของขลังให้เสื่อมสลายการทำพิธีก็จะไม่สำเร็จหรือมีอุปสรรค ฝ่ายตรงข้ามก็จะสวมรอยเข้าไปเอาเหล็กไหลหรือตัดเหล็กไหลไปได้

สำหรับความรู้ในเรื่องนํ้ามันเหี้ยแล้วไสยศาสตร์ทางแขกหรือคุณไสยทางแขก นั้นสามารถแก้ไขได้ทุกชนิดโดยไม่ยากเพราะในคัมภีร์โบราณ188ปีกล่าวไว้ว่าใช้ นํ้ามันหมูหรือนํ้ามันเหี้ยปลุกเสกด้วยคาถาถอนทาทับของที่แขกทำจะเสื่อม ทันที

นํ้ามันพรายที่อาจารย์แขกทำให้ศิษย์มาทาสาวพอแก้ด้วยนํ้ามันหมูผสมนํ้า มันเหี้ยวิญญาณผีพลายแขกร้องเสียงลั่นหนีไปสิงร่างคนที่อาจารย์แขกทำแล้ว อาละวาดจนข้าวของพังเสียหายไปหมดดังนั้นเมื่อจะทำพิธีใหญ่ก็ควรจะระวัง เรื่องเล็กๆน้อยเหล่านี้ด้วยเพราะจะทำให้พิธีเสียได้

พระคาถาเรียกเหล็กไหล
ดังนั้นเมื่อเหล็กไหลอยู่ในสถานที่ใดเป็นที่แน่ชัดแล้วก็ต้องใช้คาถาเรียกเหล็กไหลดังนี้
#โอมสวาโหมมามามะมะนะรักจะจิตตังพันธะนัง
#มะมาหาข้าพเจ้ามาเร็วๆพ่อคุณแม่คุณมาด้วยปิยะปิยัง
#นะร้องไห้โมคร่าครวญภะอยู่ไม่ได้คะรีบออกมาวาเป็นของข้าพเจ้า
#นะโมพุทธายะติดสะอะระหัง
#มะเชิญออกมาให้เห็นเป็นบุญตาอะให้อึดอัดอยู่ไม่ได้อุอุราร้อนใจดังไฟสุมออกมาทันใดอยัมภะทันตาทันใจ

ดังนั้นถ้าพลังจิตของอาจารย์ที่ทำพิธีมีพลังสูงกว่าเทพผู้รักษาเหล็กไหล เหล็กไหลนั้นจะเริ่มยืดย้อยออกมาก็จะมีการเอานํ้าผึ้งไปล่อให้เหล็กไหลกิน แล้วค่อยๆลดนํ้าผึ้งให้อยู่ตํ่าลงเพื่อล่อเหล็กไหลให้ย้อยตัวตามนํ้าผึ้ง ซึ่งทำให้ได้เนื้อเหล็กไหลมากขึ้น

พระคาถาผูกเหล็กไหล
ขณะที่เหล็กไหลกำลังเพลินอยู่กับการเสพนํ้าผึ้งและพอเพียงที่จะทำพิธีตัด ได้แล้วก็ให้เอาสายสิญจน์ที่จัดเตรียมไว้โดยได้ปลุกเสกไว้อย่างดีมาผูกโคน เหล็กไหลติดกับหินกันไม่ให้เหล็กไหลหดหนีกลับเข้าไปในหิน

พระคาถาสำหรับผูกเหล็กไหลว่าดังนี้
#นะโม๓จบ
#อิผูกติมัดปิรัดโสตรึงภะดึงคะอยู่วายอม
#นะโมนะมัดให้มัดเอาไปพุทธะพุทธังสังมิ
ดังนั้นเวลาผูกสายสิญจน์กับเหล็กไหลก็ต้องภาวนาพระคาถานี้ไปด้วยจนกว่าจะ มัดเสร็จเมื่อผูกเสร็จเรียบร้อยแล้วนำเอามีดหมอซึ่งลงอาคมขอมจากเกจิอาจารย์ พร้อมทั้งปลุกเสกมาแล้วอย่างดีตัดเหล็กไหล

พระคาถาตัดเหล็กไหล
การตัดเหล็กไหลนั้นจะต้องว่าคาถากำกับบางอาจารย์ใช้หวายผูกลูกนิมิตรมีด หมอกริชเงิน9ขดใบตาลเส้นผมขวานเล็กๆที่ทำขึ้นมาจากเทียนเข้าพรรษาประจำเดือน ทารกหญิงที่เพิ่งคลอดออกมาใหม่ๆอย่างใดอย่างหนึ่งมาประกอบพิธีกรรมตัดเหล็ก ไหลโดยบริกรรมคาถากำกับดังนี้
#นะอ่อนโมนิ่มพุทธเข้าธาขาดยะฤทธิ์เดชพินาศ
#ขาดด้วยมะอะอุนะมะพะทะ
#นะโมตัสสะตัดนะตัสสะขาด

การตัดเหล็กไหลนั้นบางอาจารย์ใช้มีดหมอลงอาคมขลังบางอาจารย์ใช้เส้นผมสาว พรหมจารีย์และหญิงนั้นไม่เคยโกนผมไฟมาก่อนแล้วนำผมสาวพรหมจารีย์ที่ไม่โกนผม มาที่ประจำเดือนของทารกแรกคลอด
มาถึงตรงนี้ผู้อ่านก็คงสงสัยว่าเด็กทารกที่ไหนจะมีประจำเดือนเพราะไสย ศาสตร์ต้องใช้ของที่ค่อนข้างหาได้ยากมาทำเป็นของขลังเพราะความเป็นจริงแล้ว เด็กทารกที่ไหนจะมีประจำเดือนมาแต่เป็นเรื่องสมมุติเอาว่าเลือดที่ติดในช่อง เพศเด็กทารกหญิง(ซึ่งในความเป็นจริงเป็นเลือดของมารดาตอนคลอดแล้วติดเปื้อน ที่ตัวเด็ก)เป็นประเดือนของทารกหญิงแล้วนำมาทำของขลังไว้แก้อาถรรพ์ของสิ่ง ใดที่ตัดไม่ออกเอาประจำเดือนของเด็กทารกทาจะตัดออกโดยเอาเคล็ดว่าของที่ไม่ เคยออกก็ยังออกของที่ออกยากที่สุดในโลกก็ยังออก

ดังนั้นเมื่อครั้งอาจารย์ชำนาญจอมไสยเวทย์ชาวเขมรได้นำคณะไปตัดเหล็กไหล เมื่อปี 2516 ก็ได้นำเส้นผมสาวพรหมจารีย์ที่ยังไม่เคยโกนผมไฟทาประจำเดือนทารกหญิงทำให้ ตัดเหล็กไหลขาดทั้ง 3 ก้อนโดยมีสักขีพยานที่เป็นทั้งหมอทหารและตำรวจรู้เห็น

พระคาถาอัญเชิญเหล็กไหล
เมื่อตัดเหล็กไหลได้แล้วก็ต้องใช้คาถาอันเชิญธาตุกายสิทธิ์มาอยู่ด้วยเพื่อความเป็นศิริมงคลพระคาถาอันเชิญเหล็กไหลไว้บูชามีดังนี้

#พุทโธเมนาโถธัมโมเมนาโถสังโฆเมนาโถ
#สะกะพะจะปูชาจะบูชาท่านผู้ดูแลรักษาธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ทรงฤทธิ์อานุภาพ
#อิสะวาสุอิติปิโสภะคะวา
#เหล็กไหลเจริญมาเจริญยิ่งเจริญดีสิ่งดีๆทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาหาข้าพเจ้า
#สัมมะสัมมาสัมมาสัมมะมะอะอุ
#นะมะพะทะนะโมพุทธายะ

พระคาถาอาคมต่างๆที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือนี้ยังไม่เคยปรากฏการตีพิมพ์ ที่ไหนมาก่อนนับเป็นโชคดีของท่านผู้สนใจเพราะหาผู้รู้เรื่องเหล่านี้ยากไม่ มีตำราจะให้ศึกษาเพราะคนโบราณจะหวงวิชาจะให้วิชาที่ตนรู้-ทำได้-ตายไปพร้อม กับตนเองเว้นแต่จะถ่ายทอดให้ลูกหลานเท่านั้นคนไหนเกเรก็ไม่ได้อีกเช่นกันบาง ครั้งก็ถ่ายทอดให้ไม่หมดเพราะกลัวศิษย์คิดล้างครูก็มีเหมือนกัน

เทพเทวาเป็นผู้มอบให้
เหล็กไหลประเภทนี้เกิดจากการอธิษฐานจิตของผู้ที่มีคุณธรรมที่มีความ ประสงค์จะขอบารมีจากเหล็กไหลเพื่อประโยชน์ในการทำนุบำรุงพระศาสนาโดยมิได้ ใช้เวทมนต์วิชาการต่างๆไปบีบคับหรือแย่งชิงเอาแต่อาศัยบุญบารมีที่ตนเองได้ เคยบำเพ็ญมาแต่ครั้งอดีตชาติและเคยเป็นเจ้าของสิ่งนี้มาก่อน
เมื่อถึงเวลาเหล่าเทพเทวานาคนาคาคนธรรพ์ยักษ์ผู้ดูแลรักษาสิ่งเหล่านี้จะ นิมิตบอกให้รู้เพื่อให้มารับเอาของสิ่งนี้ซึ่งเป็นของคู่บารมีไปรักษาเพราะ ผู้มีบารมีในที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่รักษาศีลหรือปฏิบัติมาก่อนจึงมีญาณ หยั่งรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอดีตตนเองได้ค่อนข้างมากจึงสามารถเป็นเจ้า ของเหล็กไหลนี้ซึ่งจะเป็นการพบโดยบังเอิญหรือได้มาด้วยความศรัทธาจากการบูชา หรือจะด้วยแรงอธิษฐานหรือนิมิตบอกก็ตาม

แผ่บารมีทิ้งไว้เมื่อถึงเวลาจุติ
เหล็กไหลประเภทนี้เกิดจากเทพพรหมเทวาผู้รักษาเหล็กไหลได้บำเพ็ญบารมีธรรม จนเข้าสู่อริยมรรคหรือพ้นจากวิบากกรรมบางอย่างจะจุติในภพภูมิที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไปก็จะทิ้งธาตุขันธ์หรือสิ่งที่เคยรักษาไว้อยู่โดยการอธิษฐานจิตทิ้งเอา ไว้ในถํ้าหรือสถานที่ลึกลับให้เทพเทวาหรือยักษ์คนธรรพ์คอยเฝ้ารักษาจนกว่าจะ พบผู้ที่มีบารมีธรรมพอจะรักษาสิ่งเหล่านี้ให้ก็จะมอบให้โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังนี้

1.เหล็กไหลที่เคยไหลผ่านไปมาตามซอกถํ้าซอกผามีลักษณะเป็นแผ่นๆเป็นปื้น เป็นก้อนขนาดต่างๆฝังตัวอยู่ตามซอกหินในถํ้าที่ลี้ลับรอเวลาผู้มีวาสนาเอาไป ทำประโยชน์เหล็กไหลประเภทนี้จะไม่ไหลย้อยเคลื่อนที่ไปไหนอีกแต่จะถูกพรางตา จากบุคคลผู้ไร้วาสนาหากผู้มีวาสนาได้พบเห็นและทำพิธีให้ถูกต้องก็จะมีฤทธิ์ อำนาจเป็นเหล็กไหลชั้น1ได้เหมือนกัน

2.องค์เหล็กไหลสำหรับผู้มีบารมีที่เข้าไปบำเพ็ญฌาณตามป่าเขาหรือถํ้าลึกลับเทพผู้รักษาจะมอบให้ถ้าต้องการ

พิธีกรรมทดสอบบารมีเหล็กไหล
ในการทดสอบบารมีของเหล็กไหลนั้นจะทาเป็นเล่นๆหรือเพื่อความรู้อย่างเดียว หาได้ไม่เพราะเหล็กไหลในที่นี้มีจิตวิญญาณครอบครองมีความรู้สึกรักโกรธ เกลียดชอบหรือดีเฉกเช่นความรู้สึกของสัตว์โลกทั่วไปที่ยังไม่พ้นความเป็น ปุถุชนเพียงแต่อาศัยธาตุขันธ์ประกอบเข้ากันใช้เป็นที่อยู่อาศัยโดยใช้ บุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ความเป็นเทพในระดับภพภูมิต่างๆแฝงเข้าอาศัยอยู่ดัง นั้นมีใครคิดไม่ซื่อหรือไม่ดีที่จะมาทาลายหรือมุ่งร้ายด้วยเจตนาที่ไม่ บริสุทธิ์จะมีการต่อต้านหรือต่อสู้เกิดขึ้นได้เช่นกันเช่นทาให้อานุภาพของ ดินปืนชื้นจนยิงไม่ออกบางครั้งผู้ที่ทดสอบด้วยปืนจะถูกเหล็กไหลต่อสู้ยื้ด ยุดฉุดรั้งปืนหรือแขนไว้จนไม่สามารถจะยิงได้จนสุดท้ายถูกสิ่งที่มองไม่เห็น ถีบหน้าอกหรือจุกแน่นหน้าอกจนไม่สามารถทาการยิงได้บางครั้งล้มลงทั้งยืนเลย ก็มี

ผู้อ่านหลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่หรือเกินความ จริงไปหรือเปล่าแต่สิ่งเหล่านี้รอการพิสูจน์จากผู้ที่สนใจและต้องการสิ่งที่ มีอานุภาพในการปกป้องคุ้มครองไม่ใช่จากนายหน้าหรือผู้ที่หากินทางอาชีพยิง เหล็กไหลโดยหลอกว่ามีนายทุนใช้ให้มาทดสอบบ้างมีการวางเงินเดิมพันบ้างมิ ฉะนั้นถ้าพบของจริงอย่างที่ว่าแล้วท่านอาจจะพบกับเหตุการณ์ที่น่าสพึงกลัว จากสิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านี้ได้โดยง่ายก็ได้แต่สิ่งเหล่านี้ต้องยอมรับ อย่างหนึ่งว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงสดๆร้อนๆต่อหน้าสายตาคนนับร้อยดังที่ จะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป

เครื่องบูชา
1.บายศรีเทพบายศรีพรหมบายศรีตอง
2.ฉัตรเงินฉัตรทอง9ชั้น4ทิศ
3.ตั้งศาลเอก1ศาลศาลเพียงตา4ทิศ
4.ผลไม้7อย่างทั้ง4ศาล
5.อาหารเจพร้อมผลไม้ชุดใหญ่ตั้งศาลเอกพร้อมบายศรีเทพ1คู่บายศรีพรหม1คู่
6.บายศรีตองตั้งศาลเพียงตาอย่างละ1คู่
7.เครื่องกระยาบวชข้าวตอกดอกไม้
8.คนอ่านโองการอัญเชิญ

สำหรับพิธีกรรมต่างๆนั้นสุดแท้แต่ความประสงค์ของเทพที่รักษาที่กล่าวมานี้เป็นเพียงตัวอย่างในการจัดทำพิธีในสถานที่แห่งหนึ่งเท่านั้น

หลังจากทำพิธีอันเชิญบอกกล่าวขออนุญาตจากเทพผู้ปกปักรักษาเหล็กไหลก็เป็น หน้าที่ของผู้ทำการทดสอบส่วนใหญ่จะเป็นไม้ขีดหรือปืนยิง3นัดสุดแท้แต่ เงื่อนไขปลีกย่อยที่จะตกลงกันเองซึ่งจะต้องใช้วิจารณญาณของตนเองอย่าให้ตก เป็นเครื่องมือหากินของกลุ่มผู้ไม่สุจริตเท่านั้นผู้ซื้อจริงๆนั้นมีน้อย อย่าหลงเชื่อคนแปลกหน้าง่ายๆหรือฟังคนบอกว่าเป็นนายทุนมีเงินเป็นร้อยล้าน พันล้านซึ่งก็ยากแก่การตรวจสอบพอผ่านการทดสอบสอบจริงๆแล้วนายทุนที่ว่าไม่มี เงินจ่ายก็อาจเดือดร้อนได้ในภายหลังเหมือนกันซึ่งส่วนใหญ่จะมีหลักเกณฑ์ดัง นี้

1.นายหน้าจะต้องมีเงินค่าบูชาครูในการจัดตั้งปรำพิธีหรือของใช้ในพิธีซึ่งสุดแท้แต่พิธีเล็กหรือใหญ่ประมาณ30,000บาทขึ้นไป
2.ค่าใช้จ่ายของฝ่ายนายทุนผู้ทดสอบการยิง30,000บาท
3.เงิน มัดจำหรือเงื่อนไขการจ่ายเงินเมื่อการทดสอบผ่านเรียบร้อยเหล่านี้เป็นเรื่อง ที่ต้องระมัดระวังทุกขั้นตอนเหมือนกันเพราะมีเล่ห์เหลี่ยมของผู้ที่แสวงหาผล ประโยชน์จากความโลภของคนเราได้ง่ายเหมือนกันดังข่าวที่ปรากฏตามหน้าหนังสือ พิมพ์เป็นประจำ

ขั้นตอนการทดสอบ
1.จุดธูปบอกกล่าวขอชมบารมีและขอขมาโทษหากได้ล่วงเกินต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้
2.ทดสอบอาวุธปืนโดยทดสอบยิงขึ้นฟ้า1นัดเล็งเป้าหมายระยะไม่เกิน2เมตรแล้วเหนี่ยวไกปืน
3.กรณี เป็นไม้ขีดเมื่อเปิดรังเหล็กไหลแล้วประมาณอึดใจก็ทดสอบขีดดูก็จะรู้ผลหาก ชึ้นชุ่มขีดไม่ติดทุกก้านก็ผ่านตามข้อตกลง2กล่องหรือมากกว่านั้น

ผลจากการทดสอบการยิง
ทั่วไปแล้วจะกำหนด3นัดยิงไม่ออกจึงจะผ่านและระหว่างทำการทดสอบหากปืนจะ ขัดข้องด้วยประการใดๆจนไม่สามารถทำการยิงได้หรือผู้ยิงมีอาการจุกแน่นหรือมี อาการอย่างใดอย่างหนึ่งจนไม่สามารถทำการยิงได้ก็ถือว่าผ่านดังนั้นเมื่อถึง เวลาทดสอบแล้วจะเปลี่ยนอาวุธหรือคนยิงใหม่ไม่ได้จะต้องถือว่าผ่านเช่นกัน
จากการชมบารมีของเหล็กไหล2องค์สีเขียวคล้ายหยกอ่อนและเขียวอมฟ้าปรากฎผลมหัศจรรย์ดังนี้
1.ถ่ายรูปไม่ได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเหล็กไหลโดยถูกวิธีเพราะมี ผู้พยายามจะถ่ายรูปกดชัตเตอร์ถึง3ครั้งกล้องไม่ทำงานทั้งตรวจสอบกล้องมา อย่างดีและไม่ได้นำไปใช้ที่ใดเลยในระหว่างการเดินทาง
2.แม้จะอนุญาตให้ถ่ายได้บางครั้งเหล็กไหลไม่ให้ถ่ายบางภาพหน้ากล้องจะถูกปิดโดยอัตโนมัติทันที
3.ไฟหรี่ลงเองแอร์จะดับเครื่องยนต์ดับเอง
4.ผู้ที่ทดสอบเหล็กไหลประเภทนี้จะมีอาการจุกแน่นหน้าอกหายใจไม่ค่อยออก เมื่อจะเล็งเป้าไปที่เหล็กไหลจะรู้สึกมือไม้หนักจนยกปืนไม่ขึ้นเมื่อขืนทำ เหมือนจะถูกเหนี่ยวรั้งไว้จนคนที่อยู่ในบริเวณจะเห็นได้ชัดเจนถึงความผิด ปกติในตรงนี้
5.เมื่อเหนี่ยวไกปืนจะไม่ดังคือยิงไม่ออกมีเสียงสับนกดังแชะเท่านั้น
6.ถ้าเหล็กไหลสู้หากฝืนครบจน3นัดจะถูกลงโทษอย่างรุนแรงจนร้องออกมาด้วย ความตกใจและหงายหลังล้มลงทันทีมือไม้สั่นกระตุกจนเห็นได้ชัดบางคนง่ามมือฉีก บางทีก็ปืนแตกบางคนชักดิ้นชักงอต่อหน้าเดี๋ยวนั้นทันที
7.หากเหล็กไหลหนีจะพุ่งแรงเห็นเป็นลำแสงวิ่งขึ้นฟ้าพร้อมเสียงหวีดแหลมชั่วพริบตาเท่านั้น
8.บางครั้งเมื่อครบ3นัดคนยิงถูกเหล็กไหลกระแทกกลับจนหงายหลังแล้วจะพบว่า องค์เหล็กไหลไม่ได้อยู่ที่เดิมเสียแล้วบางครั้งกระโดดลงไปในถาดผลไม้เครื่อง บูชาถ้าถ่ายวีดีโอจะมองเห็นเป็นลำแสงสีแดงวิ่งพุ่งลงไปบางครั้งเอาใส่เซฟที่ ผู้ทดสอบจัดหามาวางเปิดให้เห็นในเซฟแล้วทดสอบเหล็กไหลกระโดดมาอยู่บนจานเชิง เทียนขนาดใหญ่ที่วางตั้งอยู่ใกล้ๆกันทั้งที่มีสายตาหลายสิบคู่มองกันแทบไม่ กระพริบแต่ไม่มีใครสังเกตุว่ากระโดดออกมาจากเซฟหรือพานรองรับเมื่อไร

ดังนั้นผู้ทดสอบชมบารมีเหล็กไหลจริงๆแล้วจะต้องระมัดระวังอันตรายจากจุด นี้ด้วยจนผู้ที่รู้ดีจะเสี่ยงใช้เทียบลูกปืนหรือก้านไม้ขีดแทนดูจะปลอดภัย กว่าด้วยประการทั้งปวง

เหตุผลทั้งนี้ทั้งนั้นในเมื่อเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีชีวิตจิตวิญญาณมี ความรู้สึกเหมือนกับเราหากเป็นมนุษย์ธรรมดาต่อให้สนิทกันขนาดไหนลองเอาปืน ไม่มีกระสุนแล้วเล็งมาพร้อมโก่งไกไว้ท่านจะพอใจหรือไม่?
ดังนั้นอาถรรพณ์ของเหล็กไหลทางป้องกันและรักษาจึงค่อนข้างมีอานุภาพและ อิทธิฤทธิ์นานาประการสุดแท้แต่ความประสงค์ที่จะอธิษฐานเอาและเพื่อเผยแพร่ เรื่องราวอันแสนมหัศจรรย์ให้แก่ผู้สนใจได้รับทราบและศึกษากันต่อไป

เหล็กไหลน้ำ

เหล็กไหลน้ำ เหล็กไหลชนิดนี้มีลักษณะเป็นเหล็กไหลก้อนสีดำเหมือนนิลแกมเขียว บางแห่งที่พบอาจมีสีน้ำตาลอมแดง บางคนจะเรียกว่าเป็น เหล็กไหลตาน้ำ เอามาล่อแม่เหล็กติด เพราะมักพบเจอได้ตามบริเวณใกล้กับแม่น้ำลำธาร เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากยิ่งอีกชนิดหนึ่ง เพราะไม่ค่อยมีใครรู้จัก คนโบราณมักเอาแร่เหล็กไหลชนิดนี้มาหุงเคี่ยวด้วยคาถาอาคม เพื่อนำมาหล่อเป็นวัตถุกายสิทธิ์ หรือเป็นพระพุทธรูป มักพบมากบริเวณลำธารในแถบภูเขาควย และถ้ำดิน มีวิญญาณของพญานาคเป็นผู้ดูแลรักษา ความสามารถ ของเหล็กไหลน้ำ ดับพิษไฟ น้ำกรดเข้มข้นสูงได้ทุกชนิด มีความร่มเย็นเป็นสุขแก่ผู้ที่พกพา มีความสามารถในการสร้างน้ำได้ ล่องหนหายตัวได้ เหล็กไหลน้ำ ชอบเสพน้ำมะพร้าว

รูปทรงของเหล็กไหล


รูปทรงของเหล็กไหล

เหล็กไหลย่อมมีรูปทรงพรรณสัณฐานที่แตกต่างกันไปตามจริตและความพึงพอใจของผู้รักษา แต่เท่าที่พบเห็นและเล่าสืบทอดกันมาแต่โบราณ พอจะประมวลได้ดังนี้

1. กลมแบน................ 5. ดอกบัวตูม.............. 9. แคปซูลยา
2. ผลองุ่น ..................6. งาช้าง.................. 10. เต่า
3. ฟักเขียว................. 7. ลักบี้ ....................11. จาวตาล
4. กลมแบบลูกบอล....... 8. หยดน้ำ

สีสันของเหล็กไหล

ดังที่ได้เคยกล่าวไว้ในตอนต้นแล้วว่า สีสันของเหล็กไหลนั้นจะบ่งบอกถึงบุญบารมีของกายทิพย์เดิมหรือผู้รักษาเหล็กไหล ซึ่งเป็นผู้ที่มีบารมีจากภพภูมิที่แตกต่างกันไป ซึ่งอาจจะเป็น พรหม ฤาษี เทวดา คนธรรพ์ เพชรพญาธร ยักษ์ ที่เข้าไปจับจองเป็นเจ้าของ ทำให้เกิดอิทธิฤทธิ์ในขั้น ล่องหนหายตัว ยืดหดเองได้ สีสันต่าง ๆ ที่พบเห็นบ่อยนั้นได้แก่

1.สีเขียวปีกแมลงทับ หรือ เขียวมรกต
2.สีเขียวตองอ่อน
3.สีน้ำตาลอ่อนหรือท้องปลาไหล
4.สีเปลือกมังคุด หรือ สีน้ำตาลไหม้
5.สีเงินยวง หรือ สีขาวเงินในเบ้าหลอม
6.สีทองลูกบวบ
7.สีนิลดำสนิทแวววาว
8.สีลูกหว้า หรือ ม่วงเข้ม


ดังนั้น สีสันของเหล็กไหลอาจแปรเปลี่ยนได้ตามกาลเวลา เพราะเหล็กไหลเมื่อได้กระจัดกระจายไปอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของโลก ซึ่งมักจะเป็นสถานที่สงบ อากาศเย็นชุ่มชื้น ทั้งใต้พื้นน้ำ ตามถ้ำ ป่าเขา ลำเนาไพร เพื่อแสวงหาอริยะสัจธรรมมานานนับโกฏิปีก็มี การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ ย่อมมีผลกระทบต่ออาณาจักรของเหล็กไหล จึงจำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัย เสาะแสวงหาสถานที่หรือสร้างอาณาจักรขึ้นมาใหม่ ฉะนั้นสี สันของเหล็กไหลอาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเหตุดังกล่าว คือ

สีสันขึ้นอยู่กับสภาพสิ่งแวดล้อม ภูมิประเทศ ดินฟ้าอากาศ เช่น แร่ธาตุในบริเวณนั้น อากาศหนาวจัด อากาศร้อนจัด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและสีสันที่แตกต่างกันออกไป เพื่อการอำพรางตัว ปรับตัวตามอุณหภูมิ

สีสันเปลี่ยนแปลงไปตามจริตของเทพเทวาในระดับต่าง ๆ อาจจะเนื่องด้วยอำนาจลี้ลับของวิญญาณแห่งธรรมชาติบันดาลให้เป็นไปในสีต่าง ๆ หรือ ผู้ที่ครอบครองเหล็กไหล หมั่นฝึกฝนปฏิบัติ เจริญสมาธิภาวนาอยู่เนืองนิตย์ แล้วแผ่เมตตาบุญบารมีของการปฏิบัตินั้นให้กับเหล็กไหล จะทำให้บารมีของธาตุกายสิทธิ์นั้นเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ สีสันต่าง ๆก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน

สีสันเกิดจากส่วนผสมของสีหลัก ๆ ผสมกัน ซึ่งเป็นความลึกลับอย่างหนึ่งของธรรมชาติ เหล็กไหล

เหล็กไหล.. อัศจรรย์หินมีจิตวิญญาณครอง


เหล็กไหลคืออะไร ในความเป็นจริงแล้วเหล็กไหลก็คือธาตุชนิดหนึ่งในโลก ตัวของเหล็กไหลจริงๆนั้นไม่อาจสามารถระบุได้ว่ามันเป็นธาตุอะไรกันแน่ ทั้งนี้เพราะเหล็กไหลนั้นมีหลายเผ่าพันธุ์ บางชนิดนั้นมีลักษณะเป็นโลหะธาตุแต่ก็ไม่ใช่เหล็ก บางชนิดนั้นมีลักษณะเป็นเนื้อหินไม่ใช่โลหะ ชาวบ้านจะเรียกกันว่า หินไหน บางชนิดนั้นมีลักษณะเป็นเนื้อแก้ว มีทั้งสีเขียว สีดำ บางชิ้นสีออกเหลือง ผู้รู้จะเรียกกันว่า มณีนพรัตน์ แต่เป็นความหมายของเหล็กไหล ไม่ใช่เพชรพลอยอย่างที่เข้าใจกัน
เราสามารถสรุปเหล็กไหลว่าคืออะไรได้ดังนี้ เหล็กไหลคือสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งที่มีจิตวิญญาณ มีชีวิตขั้นพื้นฐานของตนเอง และเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสังขารร่างกายอยู่ในรูปร่างของ วัตถุธาตุบางอย่าง มีอยู่หลายชนิดหลายเผ่าพันธุ์ในธรรมชาติ