วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

น้ำมนต์เหล็กไหล

น้ำมนต์เหล็กไหลรักษาโรค

น้ำมนต์เหล็กไหล
น้ำมนต์เหล็กไหล
น้ำมนต์เหล็กไหลคือน้ำมนต์ศักดสิทธิ์ที่เกิดจากการแผ่ พลังงานจากเหล็กไหลลงสู่ธาตุน้ำโดยการนำเหล็กไหลซึ่งอาจเป็น องค์เหล็กไหลชั้นเยี่ยมหรือจะเป็นรังเหล็กไหลก็ได้ลงไปแช่ในน้ำ โดยทั่วไปจะแช่ทิ้งไว้เฉย ๆ เป็นเวลาตั้งแต่ 20นาทีขึ้นไป เพราะตาม ธรรมชาติของเหล็กไหลนั้นย่อมแผ่รัศมีของตัวเอง และเมื่อเหล็กไหล ได้แผ่รังสีลงในน้ำก็จะทำให้น้ำนั้นเริ่มมีประจุพลังงานของเหล็กไหล วิ่งไปมาอยู่ภายใน ประจุพลังงานของเหล็กไหลทีกระจายลงน้ำไม่เป็นอันตราย ต่อคนและสัตว์

ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้น้ำธรรมดาๆเป็นนํ้าอมฤตที่สามารถนำมาใช้บรรเทาอาการเจ็บป่วย หรือทำให้ร่างกายแข็งแรงทนทานต่อเชื้อโรคในอากาศ และช่วยในการปรับธาตุ ให้ร่างกายสมดุลกับอากาศรอบๆตัวด้วย แต่ลำพังการนำเอาเหล็กไหลมาแช่น้ำไว้โดยให้เหล็กไหล คลายพลังตามธรรมชาติของตนเองออกมานั้น พลังงานที่ได้อาจน้อย เกินไปหรือไม่ก็ต้องใช้เวลานานดังนั้นในกรณีที่มีผู้เจ็บป่วยหนักหรือต้องการพลังงานที่มากกว่านั้นเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงขึ้นในเวลา อันสั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาลัยอำนาจพลังงานทางจิตจากตัว มนุษย์ด้วยวิธีการเพ่งกสิณในขั้นตอนที่นำเอาเหล็กไหลลงไปแช่ในน้ำ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ได้น้ำมนต์เหล็กไหลที่มีอานุภาพมากขึ้นซึ่งผู้ที่จะเพ่ง หรือทำวิธีการนี้ได้จะต้องเป็นผู้ที่เคยฝึกกสิณมาบ้างแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "กสิณไฟ" เพราะกสิณไฟเป็นวิชาที่สามารถเพ่งเหล็กไหลให้ พลังงานภายในเหล็กไหลเกิดการแตกตัวได้

ก่อนที่จะเพ่งเหล็กไหลด้วยการใช้กสิณไฟจะต้องมีการ บอกกล่าวต่อครูบาอาจารย์ที่เป็นพระฤาษีด้วย เพราะการแตกตัวของพลังงานภายในเหล็กไหลที่เกิดจากการใช้กสิณไฟนั้นสามารถเทียบได้กับการแตกตัวของพลังงานนิวเคลียร์ซึ่งผู้ที่ทำพิธีอาจได้ รับอันตรายอันเกิดจากกระแสพลังงานของเหล็กไหลที่แผ่ออกมาอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องขอความคุ้มครองจากจิตวิญญาณที่มีอานุภาพสูงส่งกว่าและสามารถควบคุมเหล็กไหลได้

พลังงานภายในตัวเหล็กไหลจะแตกตัวแบบทวีคูณ โดยพลังงานเหล่านั้นจะเริ่มแตกตัวจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่และเพิ่มทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งในจุดนี้ผู้ที่ทำพิธีจะสามารถส่งโทรจิตและรับรู้ถึงการแตกตัวของอญูธาตุเหล็กไหลได้เฉพาะตัว แต่ผู้ทำพิธีก็สามารถ ทำให้ผู้อื่นรับรู้เป็นรูปธรรมได้ด้วยการที่ผู้ทำพิธีจะเริ่มหยดน้ำตาเทียนลงบนผิวน้ำ โดยสามารถสังเกตได้จากน้ำตาเทียนทุกหยดที่ตกลงไปบนแผ่นน้ำจะแตกตัวออกเป็นแฉกคล้ายรูปดอกพิกุลอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าจากเดิมภายในน้ำที่เรามองไม่เห็นว่าแตกต่าง อะไรจากน้ำเปล่าธรรมดาทั่วไปนั้นตอนนี้กลับเต็มไปด้วยพลังงานลี้ลับบางอย่างที่มีอานุภาพแห่งการบำบัดขั้นสูง ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถรักษา โรคได้หลายชนิด เช่นโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง เบาหวานไต แต่ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับศรัทธาของผู้ที่มาขอรับน้ำมนต์เหล็กไหลด้วย

น้ำมนต์เหล็กไหลเกิดขึ้นจากพลังอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นการดื่มน้ำมนต์เหล็กไหลจึงต้องใช้ความศรัทธาของผู้ดื่มมาประกอบ จึงจะบังเกิดผลได้อย่างเต็มที่นอกจากนี้การทำบุญแผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมจะยิ่งส่งผลให้ โรคกรรมต่างๆทุเลาลงและหายได้ในที่สุด

เหล็กไหลรักษาโรค

เหล็กไหลรักษาโรค

เหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์เป็นหนึ่งในวัตถุที่มีพลังงานพิเศษที่เทพเจ้าได้มอบไว้ให้โลกมนุษย์ เนื่องจากภายในเหล็กไหลมีเจตจำนงบางประการของเทพเจ้าซ่อนอยู่ ซึ่งผู้รู้ในยุคต่อๆมาได้ไขปริศนาเกี่ยวกับธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลว่าเป็นวัตถุที่สามารถช่วยโลกให้พ้นจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นได้ แต่การนำเหล็กไหลมาใช้ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน เพราะวิธีการใช้เหล็กไหลนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพลังจิตของผู้ครอบครองเหล็กไหลโดยตรง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าผู้ที่สามารถนำเอาพลังงานพิเศษของเหล็กไหลมาใช้ได้นั้นต้องเป็นผู้ที่ฝึกสมาธิจิตมาเป็นอย่างดีแล้วนั้นเอง

"พลังงานจากเหล็กไหลสามารถนำมาใช้ในเรื่องอะไรได้บ้าง?" คำถามนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจมากเหล็กไหลมีพลังงานสูงส่งภายในตัว และสามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานในรูปแบบอื่นๆ ได้อีกมากมาย และดูเหมือนว่าจะไม่จำกัดด้วยซ้ำ อานุภาพจากเหล็กไหลที่มากมายนี้ สามารถนำมาใช้ได้หลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถพบเห็นมาก ที่สุดคือการนำพลังอำนาจของเหล็กไหลในทางการบำบัดรักษาโรค

อานุภาพของการฝังเหล็กไหล

อานุภาพของการฝังเหล็กไหล

การฝังเหล็กไหลถือว่าเป็นการทำให้อานุภาพของแร่แสดงอิทธิพลังได้เด่นชัดที่สุดเพราะเมื่อตัวแร่แนบเนื้ออยู่ในตัวคนเรา ตัวแร่กับคนผู้นั้นจะเป็นหนึ่งเดียวกันรังสีจากแร่เหล็กไหลจะแสดงศักยภาพออกมาอย่างสมบูรณ์ที่ลุด และร่างกายของคนผู้นั้นจะสามารถรับพลัง งานจากเหล็กไหลได้อย่างเต็มที่เมื่อทำพิธีฝังเหล็กไหลเข้าไปในร่างกาย

ในการฝังเหล็กไหลนั้นครูบาอาจารย์ที่มีวิชาจะต้องทำการเสก เหล็กไหลเรียกว่าบังคับควบคุมในระดับหนึ่งเพื่อไม่ให้พลังจากเหล็กไหลทำลายตัวเองหรือกินตัวของผู้ที่รับการฝังนั้น จากนั้นให้ผู้เข้ารับการ ฝังยกขันธ์บูชาครู ที่เรียกว่าขันธ์ 5 อันประกอบด้วยดอกไม้ 5สี เทียน 5เล่ม ธูป 5ดอก ผ้าขาว 1พับ ค่าครู 32บาท ซึ่งเท่ากับอาการสามสิบสอง (สำหรับค่าครูสามารถแตกต่างกันออกไปแล้วแต่จะ กำหนดกัน) จากนั้นครูบาอาจารย์จะให้ผู้เข้ารับการฝังเหล็กไหลให้วาจาสัตย์แก่ครูบาอาจารย์ว่า เมื่อฝังเหล็กไหลแล้วจะประพฤติตัวอยู่ในศีลไม่ไปประพฤติชั่ว เช่น ไม่ประพฤติผิดศีลข้อ3 ไม่เป็นโจรและที่สำคัญ คือห้ามกล่าวคำด่าบิดามารดาของตนเป็นอันขาด เมื่อได้ยกขันธ์ครูเป็นทีเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ผู้ทำพิธีจะใช้ลิ่ม ตอกลงที่บริเวณใต้ท้องแขน (หรือบริเวณที่จะทำการฝังเหล็กไหล)
ซึ่งหากเป็นบริเวณใต้ท้องแขนก็จะสามารถดึงหนังออกมาให้ตอกได้ เมื่อตอกเรียบร้อยแล้วจะมีรอยแผลขนาดเล็ก เพื่อที่อาจารย์ผู้ทำ พิธีจะได้นำเอาเหล็กไหลที่เจียระไนเป็นรูปทรงแคปซูลเสกใส่ลงไป แล้วกล่าวพระคาถาเป่าปราณสำทับลงไปอีกครั้งหนึ่ง

พิธีฝังเหล็กไหล
พิธีฝังเหล็กไหล
โดยทั่วไปเมื่อทำพิธีฝังเหล็กไหลเข้าไปในร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะต้องมีการทดสอบหรือที่เรียกกันว่าลองของกันในทันที ซึ่งถือเป็น,ประเพณี'ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา โดยครูบาอาจารย์ผู้ทำพิธีฝังเหล็กไหลจะนำเอามีดปลายแหลมทิ่มแรงๆเข้าที่ท้อง ที่คอ หรือใช้ดาบ คมๆ ฟันลงที่ท้อง ที่หลัง หรือใช้มีดโกนมาเชือดคอของผู้ที่รับการฝังเหล็กไหล แต่ด้วยพลังจิตของครูบาอาจารย์ที่ทำพิธีฝังเหล็กไหล บวกกับอำนาจแห่งเหล็กไหลที่ฝังในร่างกายของคนผู้นั้นจึงบนดาลให้ผู้ที่ถูกทดสอบไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใดเลย จะมีปรากฏก็แต่เพียงรอยแดงๆ คล้ายยางบอนที่เกิดจากการถูกกระแทกอย่างรุนแรงตรงตำแหน่งที่ถูกทดสอบเท่านั้น นอกจากนี้ก็อาจมีอาการจุกที,เกิดจากการจ้วงแทงเข้าไปอย่างแรง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอานุภาพของเหล็กไหลที่มีฤทธิ์ทางด้านอยู่ยงคงกระพันหนังเหนียวว่ามีอิทธิฤทธิ์จริงตามตำรา ซึ่งผู้ที่ผ่านการทดสอบก็จะเกิดความมั่นใจได้ว่าตนเองได้รับความคุ้มครองจากอำนาจของเหล็กไหลเรียบร้อยแล้ว

และหากสามารถปฏิบัติตนได้ตามที่ให้วาจาสัตย์แก่ครูบาอาจารย์ ย่อมได้รับการคุ้มครองจากองค์เหล็กไหลให้แคล้วคลาดปลอดภัย จากภยันตรายใดๆทุกประการ

หลังจากที่ผ่านพิธีการฝังเหล็กไหลเป็นทีเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่เข้ารับการฝังเหล็กไหลก็ต้องระวังบาดแผลไม่ให้โดนน้ำเป็นเวลา 7วัน เพื่อให้แผลแห้งสนิท หลังจากนั้นจึงสามารถปฏิบัติตัวได้ตามปกติทั่วไป ผู้ที่ได้รับการฝังเหล็กไหลนั้นยามเมื่อมีเหล็กไหลอยู่ในรัศมี ที่ใกล้ๆตัวย่อมสามารถรับรู้ได้ทันที โดยผู้ที่ฝังเหล็กไหลท่านหนึ่งเล่าว่าสามารถสังเกตได้จากอาการที่เหล็กไหลใต้ท้องแขนของตนเอง จะส่งกระแสร้อนออกมาทุกครั้งเมื่อมีเหล็กไหลอีกชิ้นหนึ่งเข้ามาใกล้ๆ ตัวหรือยามเมื่อหยิบหรือสัมผัสเหล็กไหลชั้นอื่นก็เช่นกันก็จะมีอาการร้อนที่ปลายนิ้ว ซึ่งความร้อนดังกล่าวเปรียบได้กับการที่มีคนเอาไฟมาลน เหล็กแล้วส่งมาให้ตนจับ ครั้งแรกๆเขาก็นึกว่าถูกเพื่อนแกล้ง แต่มาภายหลังจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าที่เป็นเช่นนั้นคงเป็นเพราะกระแสพลังงานจากเหล็กไหลสององค์ที่ส่งถึงกัน

จากการศึกษาและสัมภาษณ์ผู้ที่ฝังเหล็กไหลหลายท่านพบว่าเหล็กไหลแทบทุกชนิดที่ฝังในร่างกายนั้นมักแสดงปาฏิหาริย์เคลื่อนที่ ไปตามส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์บางท่านทีฝังเหล็กไหล ตาแรดได้เล่าให้ฟังว่าเคยประสบอุบัติเหตุรถชนกันแบบประสานงา ทำให้ส่วนขาของเขาถูกช่วงล่างของรถคันดังกล่าวทับ แต่กลับปรากฏว่าขาไม่หักและเมื่อไปเอกซเรย์ก็ต้องพบกับความน่าอัศจรรย็ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะแพทย์พบว่ามีเหล็กชิ้นหนึ่งอยู่ที่บริเวณขา ซึ่งเมื่อเขาได้พิจารณาฟิล์มเอกซเรย์แล้วก็ต้องแปลกใจ เพราะว่าเหล็กชิ้นนั้นมีรูปร่าง เหมือนเหล็กไหลตาแรดที่เขาเคยฝังไว้ที่ใต้ท้องแขนเขาจึงลองคลำ ที่บริเวณท้องแขนแต่ก็ไม่พบ ทำให้เขาแน่ใจว่าเหล็กไหลตาแรดวิ่งเข้าไป รับจึงทำให้ขาของเขาไม่หักมิหนำซ้ำยังปลอดภัยไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด นอกจากนี้ก็ยังมีประสบการณอื่นๆ ของผู้ที่ฝังเหล็กใหลอีก เช่น เหล็กไหลวิ่งไปรับลูกกระสุนจากการถูกยิง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์จากอานุภาพของเหล็กไหลที่ฝังอยู่ในร่างกาย

การตัดเหล็กไหลเผยแพร่สู่สาธารณชน

การตัดเหล็กไหลเผยแพร่สู่สาธารณชน

เรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหล็กไหลนั้นล้วนเป็นเรื่องราว ที่เร้นลับซับซ้อน เป็นที่น่าสนใจและน่าติดตามในมุมมองของคน โดยทั่วไป จนอาจกล่าวได้ว่าคนไทยมีความผูกพันใกล้ชิดกับธาตุ กายสิทธิ์ชนิดนี้มาก โดยจะเห็นได้จากพระเครื่องหรือวัตถุมงคล ในสมัยก่อนที่ต้องมีธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลปะปนเป็นมวลสารอยู่ บ้างไม่มากก็น้อย

ในราวปีพ.ศ.2537ได้มีรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งนำเสนอ เรื่องราวเกี่ยวกับการติดตามพิสูจน์เหล็กไหลว่ามีจริงหรือไม่แพร่ ภาพออกสู่สาธารณชนจนกลายเป็นประเด็นที่ประชาซนทั่วไปให้ ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยรายการดังกล่าวได้ไปถ่ายทำพิธีการ ตัดเหล็กไหลตามถ้ำต่างๆในประเทศไทย และนับเป็นครั้งแรกที่พิธีกรรมทางไสยศาสตร์อันเร้นลับได้ถูกเปิดเผยสายตาของประชาชน

พิธีกรรมการตัดเหล็กไหลที่ได้ไปบันทึกภาพในครั้งนั้นได้ กระทำขึ้นที่ถํ้าแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี โดยมีบุคคลจากหลากหลาย สาขาอาชีพเข้าร่วมในการพิสูจน์และเป็นสักขีพยานด้วย อาจารย์ผู้ประกอบพิธีกรรมในการตัดเหล็กไหลครั้งนั้นก็เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ในการตัดเหล็กไหลเป็นอย่างมาก ซึ่งในครั้งนั้นท่านก็พร้อมที่จะร่วมพิสูจน์และให้ความร่วมมือในการถ่ายทำเป็นอย่างดี

การตัดเหล็กไหลในครั้งนั้นเป็นการตัดเหล็กไหลน้ำหนึ่ง ที่ไม่แข็งตัวเองตามธรรมชาติโดยการใช้กสิณไฟตัดด้วยเทียน เพียงเล่มเดียว ผู้ทำพิธีได้ไต่ปันไดไม้ไผ่ขึ้นไปจนถึงบริเวณก้อนหิน ที่เหล็ก1ไหลซ่อนตัวอยู่แล้วใช้เทียนลนไปยังบริเวณรังเหล็กไหล

ในเวลาไม่นานก็ปรากฏวัตถุอย่างหนึ่งที่มีสีดำเป็นมันเงาเคลื่อนที่ไปมา คล้ายของเหลวได้ยืดตัวออกมาจากซอกหินบริเวณที่ถูกเทียนลน ต่อหน้าสักขีพยานเป็นจำนวนมาก ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเห็น เหมือนกันหมดว่าของเหลวสีดำนั้นเริ่มยืดตัวออกมาจากรังที่มีสีแดง ราวกับโดนไฟที่มีความร้อนจัดแผดเผา จากนั้นของเหลวสีดำดังกล่าว ก็หลุดตัวออกมาจากซอกหินตกลงมายังผ้าขาวที่ได้เตรียมรับเอาไว้ด้านล่าง

ข่าวเหล็๋กไหลในกลุ่มของสักขีพยานเหล่านั้นล้วนประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักธรณีวิทยา ตลอดจนเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรธรณี ทุกคนในที่ นั้นต่างก็ช่วยกันพิจารณาเหล็กไหลชิ้นที่ตัดมาได้ และทุกคนต่างก็ ยอมรับถึงสิงที่ได้ปรากฏแก่สายตาตัวเองว่าเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ และไม่สามารถหาคำตอบในทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลยคณะพิสูจน์เหล็กไหลจึงได้นำเหล็กไหลชิ้นที่ตัดมาได้ไปตรวจพิสูจน์ ที่กรมทรัพยากรธรณีเพื่อที่จะได้ทราบว่าวัตถุชิ้นนี้คืออะไรกันแน่

ผลการตรวจสอบเหล็กไหลที่ได้จากการทำพิธีตัดในครั้งนั้น ปรากฏว่าวัตถุที่ได้นั้นไม่ใช่วัตถุธาตุบนโลก แต่มีลักษณะเหมือนกับ สะเก็ดดาวหรืออุกกาบาตที่ตกลงมายังโลกอันเป็นวัตถุธาตุที่อยู่ ในห้วงจักรวาลที่เดินทางผ่านกาลเวลาและระยะทางอันแสนยาวนาน มาจากนอกโลกกว่าจะเดินทางมาถึงยังโลกของเรา

อันที่จริงก็ยังมืวัตถุธาตุจากห้วงอวกาศที่เดินทางเข้ามายัง โลกอีกหลายชนิด บางชนิดเดินทางลงมาเป็นลำแสงแต่ไม่สามารถ หาตัววัตถุเหล่านั้นได้พบ บางชนิดที่มีขนาดใหญ่มากจึงไม่สามารถ เดินทางเข้ามายังชั้นบรรยากาศของโลกได้ด้วยวิธีการธรรมดา ดังนั้นการที่จะสามารถเดินทางมายังโลกได้ต้องอาตัยการเดินทางผ่านประตูมิติเวลา เนื่องจากการเดินทางผ่านประตูแห่งกาลเวลา จะทำให้เงื่อนไขของเวลาและระยะทางหมดไป

จากผลการพิสูจน์ที่ออกมายิ่งทำให้คณะพิสูจน์เหล็กไหลและ กลุ่มสักขีพยานไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าแท้ที่จริงแล้วเหล็กไหล คืออะไรกันแน่ เพราะหากธาตุชนิดนี้ไม่ใช่วัตถุธาตุบนโลกแล้วเหล็กไหล เดินทางมาจากที่ไหนและมาบนโลกเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? นอกจากนี้ทางรายการยังได้แพร่ภาพพิธีกรรมการตัดเหล็กไหล ณ สถานที่อื่นๆอีกหลายครั้ง ซึ่งผลปรากฏว่าเหล็กไหลที่ได้ก็มีลักษณะที่ใกล้เคียงกันคือเป็นของเหลวสีดำเป็นมันเงาสามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ราวกับเป็นสิงที่มีชีวิตเมื่อโดนไฟลนก็จะสามารถยืดตัวและหดตัวได้ เหล็กไหลน้ำหนึ่งนั้นจะมีลักษณะรูปพรรณสัณฐานเป็นของเหลวคล้ายปรอทและไม่ยอมแข็งตัวเองตามธรรมชาติ จนกระทั่งถูกตัดออกมาจากรังแล้วจึงจะแข็งตัว เหล็กไหลน้ำหนึ่งมีหลากหลายสีด้วยกัน แต่เท่าที่เคยพบก็มีสีดำ สีท้องปลาไหล สีเขียวอมดำ เขียวหัวเป็ด เขียวอมทอง เขียวปีกแมลงทับ สีน้าเงินอมดำ และไม่มีสี (เป็นแก้วใส)

แม้ว่าจะเคยมีรายการทางโทรทัศน์ได้เผยแพร่เรื่องราว เกี่ยวกับเหล็กไหลไปแล้วก็ตาม หากแต่เรื่องราวของเหล็กไหลนั้น ก็ยังคงเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจหาคำตอบให้ได้และยังคง เป็นสิ่งที่เหนือความรู้และความคิดของคนโดยทั่วไปอีกมาก แต่ทั้งนี้ มิได้หมายความว่าเหล็กไหลจะเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติ หรือขัดต่อหลักของธรรมชาติแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าวิทยาการความเบนโลกเรา ยังไม่อาจเข้าใจธาตุกายสิทธื้ที่มาจากนอกโลกชนิดนี้ได้ จึงมีเรื่องราว อันเร้นลับอีกมากมายของเหล็กไหลที่มนุษย์ยังคงไม่รู้

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

ชนิดของเหล็กไหลที่ใช้ฝังในร่างกาย

ชนิดของเหล็กไหลที่ใช้ฝังในร่างกาย

สำหรับเหล็กไหลที่ใช้ฝังในบริเวณใต้ท้องแขนนั้นมีด้วยกันหลายชนิดได้แก่
1. เหล็กไหลตาแรด
2. เหล็กไหลโคตรทรหด
3. เหล็กไหลเงินยวง
4. เหล็กไหลเพชร
5. เหล็กไหลโกฏิปี
6.แร่ทองคำ (ทองคำถือว่าเป็นเหล็กไหลเผ่าพันธุ์หนึ่งจึงไม่นิยม นำมาฝังในร่างกาย )

สันนิษฐานว่าชนิดของเหล็กไหลที่นำมาฝังในร่างกายคงมี มากกว่านี้แต่ยังเป็นที่ปกปิด นอกจากนี้ในบางตำรายังกล่าวว่า สามารถ นำเอาเหล็กไหลมาแช่กับว่านยาบางอย่างจนเหล็กไหลอ่อนตัวกลายเป็น ของเหลวแล้วใช้ดื่มจะช่วยทำให้อายุยืนนับหมื่นปีมีร่างกายเป็นกายสิทธิ์ เหล็กไหลที่นำมาใช้สำหรับฝังในร่างกายนั้นพบว่าสามารถใช้ ฝังได้แทบทุกชนิดเพียงแต่จะสามารถหาเหล็กไหลชนิดนั้นมาได้หรือไม่เท่านั้นอย่างเช่น เหล็กไหลโกฏิปีสีปีกแมลงทับซึ่งเชื่อกันว่าฤาษีโบราณ มักนิยมฝังไว้ในร่างกายหรือไม่ก็ถอดจิตตัวเองเข้าไปอยู่ในเหล็กไหลเสียเอง

นอกจากนี้ยังมีครูบาอาจารย์ในสายเขมรซึ่งท่านนิยมเลี้ยงเหล็กไหลไว้ในร่างกายจนเมื่อมีความต้องการที่จะฝังเหล็กไหลให้แก่ให้ลูกศิษย์ ท่านจึงจะคายออกมาทางปากแล้วทำการฝังเหล็กไหลซึ่งยังไม่แข็ง ตัวลงที่ใต้ท้องแขนของลูกศิษย์ เหล็กไหลที่ยังไม่แข็งตัวนี้ยังสามารถ เคลื่อนที่โยกย้ายตัวเองไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ด้วยเพราะ มีสภาพเป็นของเหลว

ตำแหน่งที่ใช้ฝังเหล็กไหลภายในร่างกาย

ตำแหน่งที่ใช้ฝังเหล็กไหลภายในร่างกาย

ฝังเหล็กไหล
ฝังเหล็กไหล
การฝังเหล็กไหลภายในร่างกายสามารถเลือกตำแหน่งที่จะฝัง เหล็กไหลได้หลายที่ด้วยกันอาทิเช่น ท้องแขน หัวไหล่ คอหอย หน้าอก แผ่นหลัง เป็นต้น แต่ตำแหน่งที่ได้รับความนิยมที่สุดในการฝังเหล็กไหล คือบริเวณใต้ท้องแขนกับหลังใบหู ทั้งนี้เนื่องจากเป็นบริเวณที่ทำ ได้ง่ายและสะดวกที่สุด ไม่เป็นอันตรายทั้งในขณะทำการฝังและหลังจากที่ฝังไปแล้ว เพราะเป็นบริเวณที่มีโอกาสได้รับการกระทบ กระเทือนน้อยที่สุด อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่สามารถซ่อนไม่ให้ผู้อื่น พบเห็นได้โดยง่ายว่ามีการฝังเหล็กไหลไว้ในตัว ในสมัยโบราณยังนิยมฝังเหล็กไหลไว้ในตำแหน่งอื่นๆ อีกด้วย เช่นหัวไหล่ เพราะในยามที่มีอันตราย ผู้ที่ฝังเหล็กไหลก็จะบริกรรมคาถา พร้อมทั้งนวดคลึงหัวไหล่ของตนเองตรงบริเวณที่มีเหล็กไหลฝังอยู่ เมื่อเหล็กไหลได้รับสัญญาณจากการท่องพระเวทย์คาถาอาคม ก็จะทำการสำแดงฤทธิ์ โดยแผ่รังสีปกป้องคุ้มครองออกมาทำให้มีฤทธิ์ ในทางอยู่ยงคงกระพันหรือแคล้วคลาดปลอดภัยได้ แต่หากฝังเหล็กไหล อยู่ใต้ท้องแขน ในยามที่มีภัยก็จะใช้การตบที่ต้นแขนเบา ๆ เหมือน เป็นการปลุกเหล็กไหลพร้อมทั้งบริกรรมคาถาที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา

ความหมายของการฝังเหล็กไหล

ความหมายของการฝังเหล็กไหล

ฝังเหล็กไหล
ฝังเหล็กไหล
เหล็กไหลเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่หาได้ยากจึงทำให้เหล็กไหลแต่ละชิ้นมีราคาสูง เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษยในทุกยุคจึงได้พยายามคิดค้นวิธีการเก็บรักษาเหล็กไหลให้อยู่กับตัวให้ดีที่สุดและยาวนานที่สุดไม่ว่าจะเป็นการเลี่ยมห้อยคอใส่ผ้าประเจียดรัดแขน หรือทำเป็นสร้อยคอ แต่วิธีการต่างๆเหล่านี้ก็ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากนักรบในสมัยโบราณที่ต้องการใช้เหล็กไหลเข้าทำศึกในลักษณะที่ประชิดตัวนั้นอาจทำให้ผ้าประเจียดหรือสร้อยคอที่นำเหล็กไหลไปใส่ไว้เกิดสูญหายหรือหล่นหาย ไปในขณะที่กำลังรบได้จึงเป็นที่มาของวิชาหนึ่งที่นำเอาธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้มาบรรจุไว้ในร่างกายของมนุษย์ซึ่งเรียกว่า"วิชาการฝังเหล็กไหล" การฝังแร่เหล็กไหลจึงหมายถึงการนำธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหล มาฝังลงในร่างกายในตำแหน่งที่สามารถค้นหาเหล็กไหลได้ยาก เช่น บริเวณท้องแขนหัวไหล่หรือต้นคอ เป็นต้นซึ่งเป็นตำแหน่งที่จะสังเกตเห็นแร่เหล็กไหลได้ยาก เมื่อเก็บเหล็กไหลไว้ในตำแหน่งเหล่านี้ก็จะทำให้เหล็กไหลอยู่ติดตัวผู้เป็นเจ้าของเหล็กไหลนั้นตลอดเวลา โดยที่ผู้อื่นหรือคู่ต่อสู้จะไม่สามารถพบเห็นได้ว่าผู้นั้นมีเหล็กไหลพกติดตัวอยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นการศึกสงครามหรือตกเป็นเชลยข้าศึกก็จะไม่สามารถพบเห็นแร่เหล็กไหลเหล่านี้ได้เลย

วิชาการฝังเหล็กไหลในตัวนี้ นับเป็นวิชาโบราณขนานแท้วิชา หนึ่งจากหลักฐานความเชื่อเกี่ยวกับการฝังของลงในร่างกายนั้น พบว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและเป็นวิชาที่ใช้ร่วมกับการสักยันต์ สำหรับ ของที่ใช้ฝังนั้น หากหาเหล็กไหลไม่ได้ก็นิยมฝังแก้วชนิดต่างๆ ที่เชื่อว่า มีฤทธิ์ เช่น เพชร ทับทิม หรือฝังตะกรุด ฝังเข็มทอง แต่ที่ได้รับความนิยมว่ายอดที่สุดคือเหล็กไหล เนื่องจากมีอานุภาพคุ้มครองป้องกันได้ทุกอย่างรวมทั้งยังสามารถทำลายอาถรรพณ์ของฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วย แม้ว่าการนำเอาพลังอำนาจจากเหล็กไหลมาใช้จะสามารถ ทำได้หลายวิธีด้วยกันแต่วิธีที่ได้รับความนิยมและเชื่อถือกันมากที่สุดคือ การนำเหล็กไหลมาฝังไว้กับตัว ซึ่งจุดประสงค์ของการฝังเหล็กไหลไว้ภายในร่างกายนั้นก็เนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า

1. การฝังเหล็กไหลไว้ภายในตัวจะทำให้เหล็กไหลไม่หนีหาย ไปไหน เพราะโดยปกติเหล็กไหลจะสามารถล่องหนหายตัวไปยังที่ต่างๆได้ ซึ่งหากเหล็กไหลไม่ต้องการที่จะอยู่ด้วยแล้ว แม้ว่าจะเก็บรักษา เหล็กไหลไว้เป็นอย่างดี แต่เหล็กไหลก็ยังจะสามารถหนีหายไปได้ ดังนั้นจึงต้องหาวิธีที่จะทำให้เหล็กไหลไม่หนีหายไปไหน และวิธีการที่นิยมมากที่สุดก็คือการฝังเหล็กไหลไว้ในร่างกายซึ่งสามารถมั่นใจได้ว่าเหล็กไหลจะอยู่กับคนผู้นั้นไปชั่วชีวิต นอกจากนี้ยังเชื่อว่าอำนาจจากเหล็กไหลที่ฝังอยู่ในร่างกายจะทำให้ผู้นั้นคงกระพันเป็นมหาอุด ทนต่อศาสตราวุธอีกทั้งยังมีพลังที่ทำให้ดูเป็นหนุ่มสาวอีกด้วย

เหล็กไหลเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีญาณหยั่งรู้เหล็กไหลจึงรู้ชะตาของผู้ที่ฝังเหล็กไหลไว้ในร่างกายได้ล่วงหน้าว่าธาตุขันธ์ของผู้นั้นใกล้จะถึงกาลแตกดับแล้ว ซึ่งหากผู้นั้นใกล้ที่จะหมดอายุขัยเหล็กไหลที่ฝังอยู่ในร่างกายก็จะหนีหายไปทันทีที่เหล็กไหลออกจากกายของคนผู้นั้นจะสามารถทราบได้ในทันทีเพราะจะมีความรู้สึกว่าพลังร่างกายบางส่วนได้ขาดหายไปในช่วงนี้ผู้ที่รู้ก็จะเร่งบำเพ็ญเพียรภาวนา และประกอบแต่กุศลกรรมเพื่อที่ตายไปจะได้ใปสู่ภพภูมิที่ดี

2. การฝังเหล็กไหลไว้ภายในตัวจะทำให้เหล็กไหลสามารถ สำแดงอานุภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นความเชื่อในลักษณะเดียวกันกับการใช้ว่านที่ว่าว่านจะมีอิทธิฤทธิ้มากที่สุดก็ต่อเมื่อเคี้ยว กินเข้าไปหรือทำให้นั้ายาว่านเข้าไปในตัวการใช้เหล็กไหลก็เช่นกัน หากต้องการให้เหล็กไหลแผ่พลังอำนาจอย่างสมบูรณ์ก็ต้องให้เหล็กไหลสัมผัสถูกต้องเนื้อตัวอยู่ตลอดเวลา รังสีจากแร่เหล็กไหล จึงจะสามารถแสดงศักยภาพออกมาอย่างสมบูรณ์ที่สุด และร่างกายของคนผู้นั้นก็จะสามารถรับพลังงานจากเหล็กไหลได้อย่างเต็มที่เช่นกัน การฝังเหล็กไหลจะส่งผลให้เหล็กไหลมีปฏิกิริยากับผิวหนัง และเลือดเนื้อภายในตัวของผู้ที่ฝังเสมือนว่าเหล็กไหลกับตัวผู้นั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าผู้นั้นจะรู้สึกอย่างไรเหล็กไหลก็จะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอย่างนั้นด้วย เหล็กไหลจะสามารถรับรู้ได้ด้วยญาณทัสนะอย่างแจ่มชัดเป็นผลให้เหล็กไหลส่งพลังป้องกันตัวเองออกมาอย่างเต็มที่หรือแม้ในยามที่ผู้นั้นรู้สึกร้อนหนาวเหล็กไหลก็จะรับรู้และจะทำ การปรับอุณหภูมิในตัวผู้นั้นให้พอดีเพื่อขจัดความร้อนหนาวให้สิ้นไปได้


3. การฝังเหล็กไหลไว้ในร่างกายเป็นการอำพรางทำให้ผู้อื่น ไม่เห็นของดีในตัวเรา ถือเป็นการซ่อนอาวุธลับไม่ให้ศัตรูได้ว่าเรามี ของดีอะไร เพราะหากศัตรูรู้ได้ว่าเรามีเหล็กไหลเขาก็อาจเรียกเอาเหล็กไหลไปได้ด้วยคาถาอาคม ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นรู้ได้ว่า เรามีของดีอยู่กับตัว จึงต้องทำการฝังของดีนั้นไว้ในร่างกายซึ่งนับว่าปลอดภัยที่สุด