การฝังเหล็กไหลถือว่าเป็นการทำให้อานุภาพของแร่แสดงอิทธิพลังได้เด่นชัดที่สุดเพราะเมื่อตัวแร่แนบเนื้ออยู่ในตัวคนเรา ตัวแร่กับคนผู้นั้นจะเป็นหนึ่งเดียวกันรังสีจากแร่เหล็กไหลจะแสดงศักยภาพออกมาอย่างสมบูรณ์ที่ลุด และร่างกายของคนผู้นั้นจะสามารถรับพลัง งานจากเหล็กไหลได้อย่างเต็มที่เมื่อทำพิธีฝังเหล็กไหลเข้าไปในร่างกาย
ในการฝังเหล็กไหลนั้นครูบาอาจารย์ที่มีวิชาจะต้องทำการเสก เหล็กไหลเรียกว่าบังคับควบคุมในระดับหนึ่งเพื่อไม่ให้พลังจากเหล็กไหลทำลายตัวเองหรือกินตัวของผู้ที่รับการฝังนั้น จากนั้นให้ผู้เข้ารับการ ฝังยกขันธ์บูชาครู ที่เรียกว่าขันธ์ 5 อันประกอบด้วยดอกไม้ 5สี เทียน 5เล่ม ธูป 5ดอก ผ้าขาว 1พับ ค่าครู 32บาท ซึ่งเท่ากับอาการสามสิบสอง (สำหรับค่าครูสามารถแตกต่างกันออกไปแล้วแต่จะ กำหนดกัน) จากนั้นครูบาอาจารย์จะให้ผู้เข้ารับการฝังเหล็กไหลให้วาจาสัตย์แก่ครูบาอาจารย์ว่า เมื่อฝังเหล็กไหลแล้วจะประพฤติตัวอยู่ในศีลไม่ไปประพฤติชั่ว เช่น ไม่ประพฤติผิดศีลข้อ3 ไม่เป็นโจรและที่สำคัญ คือห้ามกล่าวคำด่าบิดามารดาของตนเป็นอันขาด เมื่อได้ยกขันธ์ครูเป็นทีเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ผู้ทำพิธีจะใช้ลิ่ม ตอกลงที่บริเวณใต้ท้องแขน (หรือบริเวณที่จะทำการฝังเหล็กไหล)
ซึ่งหากเป็นบริเวณใต้ท้องแขนก็จะสามารถดึงหนังออกมาให้ตอกได้ เมื่อตอกเรียบร้อยแล้วจะมีรอยแผลขนาดเล็ก เพื่อที่อาจารย์ผู้ทำ พิธีจะได้นำเอาเหล็กไหลที่เจียระไนเป็นรูปทรงแคปซูลเสกใส่ลงไป แล้วกล่าวพระคาถาเป่าปราณสำทับลงไปอีกครั้งหนึ่ง
พิธีฝังเหล็กไหล |
โดยทั่วไปเมื่อทำพิธีฝังเหล็กไหลเข้าไปในร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะต้องมีการทดสอบหรือที่เรียกกันว่าลองของกันในทันที ซึ่งถือเป็น,ประเพณี'ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา โดยครูบาอาจารย์ผู้ทำพิธีฝังเหล็กไหลจะนำเอามีดปลายแหลมทิ่มแรงๆเข้าที่ท้อง ที่คอ หรือใช้ดาบ คมๆ ฟันลงที่ท้อง ที่หลัง หรือใช้มีดโกนมาเชือดคอของผู้ที่รับการฝังเหล็กไหล แต่ด้วยพลังจิตของครูบาอาจารย์ที่ทำพิธีฝังเหล็กไหล บวกกับอำนาจแห่งเหล็กไหลที่ฝังในร่างกายของคนผู้นั้นจึงบนดาลให้ผู้ที่ถูกทดสอบไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใดเลย จะมีปรากฏก็แต่เพียงรอยแดงๆ คล้ายยางบอนที่เกิดจากการถูกกระแทกอย่างรุนแรงตรงตำแหน่งที่ถูกทดสอบเท่านั้น นอกจากนี้ก็อาจมีอาการจุกที,เกิดจากการจ้วงแทงเข้าไปอย่างแรง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอานุภาพของเหล็กไหลที่มีฤทธิ์ทางด้านอยู่ยงคงกระพันหนังเหนียวว่ามีอิทธิฤทธิ์จริงตามตำรา ซึ่งผู้ที่ผ่านการทดสอบก็จะเกิดความมั่นใจได้ว่าตนเองได้รับความคุ้มครองจากอำนาจของเหล็กไหลเรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่ผ่านพิธีการฝังเหล็กไหลเป็นทีเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่เข้ารับการฝังเหล็กไหลก็ต้องระวังบาดแผลไม่ให้โดนน้ำเป็นเวลา 7วัน เพื่อให้แผลแห้งสนิท หลังจากนั้นจึงสามารถปฏิบัติตัวได้ตามปกติทั่วไป ผู้ที่ได้รับการฝังเหล็กไหลนั้นยามเมื่อมีเหล็กไหลอยู่ในรัศมี ที่ใกล้ๆตัวย่อมสามารถรับรู้ได้ทันที โดยผู้ที่ฝังเหล็กไหลท่านหนึ่งเล่าว่าสามารถสังเกตได้จากอาการที่เหล็กไหลใต้ท้องแขนของตนเอง จะส่งกระแสร้อนออกมาทุกครั้งเมื่อมีเหล็กไหลอีกชิ้นหนึ่งเข้ามาใกล้ๆ ตัวหรือยามเมื่อหยิบหรือสัมผัสเหล็กไหลชั้นอื่นก็เช่นกันก็จะมีอาการร้อนที่ปลายนิ้ว ซึ่งความร้อนดังกล่าวเปรียบได้กับการที่มีคนเอาไฟมาลน เหล็กแล้วส่งมาให้ตนจับ ครั้งแรกๆเขาก็นึกว่าถูกเพื่อนแกล้ง แต่มาภายหลังจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าที่เป็นเช่นนั้นคงเป็นเพราะกระแสพลังงานจากเหล็กไหลสององค์ที่ส่งถึงกัน
จากการศึกษาและสัมภาษณ์ผู้ที่ฝังเหล็กไหลหลายท่านพบว่าเหล็กไหลแทบทุกชนิดที่ฝังในร่างกายนั้นมักแสดงปาฏิหาริย์เคลื่อนที่ ไปตามส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์บางท่านทีฝังเหล็กไหล ตาแรดได้เล่าให้ฟังว่าเคยประสบอุบัติเหตุรถชนกันแบบประสานงา ทำให้ส่วนขาของเขาถูกช่วงล่างของรถคันดังกล่าวทับ แต่กลับปรากฏว่าขาไม่หักและเมื่อไปเอกซเรย์ก็ต้องพบกับความน่าอัศจรรย็ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะแพทย์พบว่ามีเหล็กชิ้นหนึ่งอยู่ที่บริเวณขา ซึ่งเมื่อเขาได้พิจารณาฟิล์มเอกซเรย์แล้วก็ต้องแปลกใจ เพราะว่าเหล็กชิ้นนั้นมีรูปร่าง เหมือนเหล็กไหลตาแรดที่เขาเคยฝังไว้ที่ใต้ท้องแขนเขาจึงลองคลำ ที่บริเวณท้องแขนแต่ก็ไม่พบ ทำให้เขาแน่ใจว่าเหล็กไหลตาแรดวิ่งเข้าไป รับจึงทำให้ขาของเขาไม่หักมิหนำซ้ำยังปลอดภัยไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด นอกจากนี้ก็ยังมีประสบการณอื่นๆ ของผู้ที่ฝังเหล็กใหลอีก เช่น เหล็กไหลวิ่งไปรับลูกกระสุนจากการถูกยิง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์จากอานุภาพของเหล็กไหลที่ฝังอยู่ในร่างกาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น